เคยได้ยินผ่านหูมาตลอดว่าเวลาที่เริ่มจะมีความรัก กระทั่งเรื่องธรรมดาน่าเบื่อที่พบเจออยู่ในแต่ละวันเอง ก็ยังกลายเป็นเรื่องสนุกขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์…
วิลเลี่ยมไม่เคยใส่ใจกับมันมากไปกว่า ที่สนใจพวกประโยคหวานเลี่ยนจากบทประพันธ์คลาสสิคในห้องเรียน อาจจะมีหวนนึกถึงกันอยู่บ้างในตอนที่เพื่อนสาวเพียงคนเดียวของกลุ่ม เริ่มกลับบ้านเร็วขึ้นและมาเรียนพร้อมกับช่อดอกไม้ช่อใหญ่ในอ้อมแขน ตอนที่นอร์ตันบอกว่าเธอกำลังมีความรัก ซึ่งเมื่อดูจากสีหน้าท่าทางที่มีความสุขขนาดนั้น ขนาดตัวเขาก็ยังดูออกเลยว่ามันคงไม่มีเหตุผลอื่นอีกแล้วเป็นแน่…
เขาไม่คิดว่าตัวเองจะมีช่วงเวลาที่จะได้รับรู้ความรู้สึกเหล่านั้น เพราะก็ใช่ว่าเขาเองจะไม่มีใครเลยที่ผ่านเข้ามาในชีวิตมาก่อน…สาวป๊อปห้องข้างๆ รุ่นน้องที่เคยมานั่งเฝ้าที่สนาม หรือกระทั่งเอสของทีมคู่แข่ง กระทั่งในยามนี้ที่หัวใจของเขาจะลิงโลดยิ่งกว่าครั้งไหนๆที่ผ่านมา
ยามเมื่อคิดถึงความอบอุ่นของฝ่ามือที่ลูบลงบนศีรษะ รอยยิ้มอ่อนโยนที่มอบส่งมา ไหนเลยจะน้ำเสียงนุ่มนวลนั้นที่เอ่ยพูดแต่เรื่องเท่ๆออกมา…ตัวตนที่เหมือนกันนักกับแสงอาทิตย์อ่อนๆในต้นฤดูร้อนที่อาบต้องผิวกายนั้น ก็ทำให้ผิวแก้มร้อนผะผ่าวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้แทบจะในทันที
แล้วในวินาทีที่เขารู้สึกได้แล้วว่าความรู้สึกหวานไหวนี้เริ่มผลิบานขึ้นในหัวใจนั้นเอง บทกลอนรักหวานแหววที่เคยคิดว่าเลี่ยนเสียมากมาย ก็ดูจะสมเหตุสมผลขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“สีหน้าแบบนั้นมันสีหน้าของคนมีความรักชัดๆเลย ไม่ใช่รึไงน่ะ!?” ไนบ์พาดแขนลงบนบ่าเด็กหนุ่มที่นั่งใจลอยไปไกลแล้ว “แอบไปหลงใครที่ไหนแล้วไม่บอกพวกฉันมันใช้ได้ที่ไหนกัน หา!?”
“ใช่! แค่เทรซี่หนีไปเดตทุกเย็นก็เจ็บปวดมากพอแล้วนะ นายยังจะห่างเหินพวกเราไปอีกคนเหรออออ” ไมค์กระโจนเข้ามาร่วมวงด้วยอีกคน ใบหน้าตกกระเล็กน้อยซุกลงกับไหล่แข็งแรงของเพื่อน ไซร้อ้อนไป-มาเหมือนกับเด็กๆไม่มีผิด
“เว่อร์ไปแล้วพวกนาย ฉันไม่ได้จะไปไหนสักหน่อยนะ” กองหน้าหนุ่มคนเก่งหัวเราะร่ากับท่าทีของเพื่อนๆ
“แต่ก็ไม่ปฏิเสธเรื่องมีความรักสินะ…หมาหัวเน่าแล้วพวกนายสองคน” นอร์ตันที่เดินเข้ามาสมทบทีหลัง แขวะทั้งๆที่ยังเคี้ยวโดนัทอยู่เต็มปาก
เสียงโวยวายอื้ออึงเต็มสองหู กระทั่งเทรซี่ที่มักจะนั่งมองวงสนทนาอยู่เงียบๆอยู่เสมอก็ยังเข้ามาร่วมวงด้วยในวันนี้ ในอ้อมแขนเล็กๆนั้นโอบกอดช่อดอกไม้ช่อใหม่เอาไว้ด้วยอย่างทะนุถนอม
“หลังเลิกซ้อมวันนี้ ไป’เฟ่กัน! ห้ามปฏิเสธเด็ดขาดเข้าใจนะ ทุกคนเลย!” เด็กหนุ่มผมสีอ่อนเอ่ยบทสรุปของตัวเองออกมาด้วยน้ำเสียงดื้อดึง
นอร์ตันโอบแขนรอบไหล่เทรซี่ในทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น เด็กสาวที่หนีไม่ทันอีกแล้วหน้าซีดขึ้นมาในทันที ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติวิลเลี่ยมเอง ก็คงไม่รอช้าที่จะร่วมวงผสมโรงเข้าไปด้วย
เพียงแต่ครั้งนี้ตัวเขาเอง…ก็อยากจะชิ่งด้วยแล้วอีกคนเนี่ยสิ
…………………………………………
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเป็นพวกเก็บความรู้สึกไม่เก่ง
ก็ต้องเป็นเพราะพวกเรารู้จักกันมานานเกินไป…
แค่เพียงแต่เขาคิดว่าจะหาทางชิ่งหนีไปอย่างแนบเนียบหลังเลิกซ้อม เหล่าเพื่อนๆผู้น่ารักที่ในเวลาปกติแล้วมักจะเห็นประตูโรงเรียนเป็นเหมือนประตูแห่งอิสรภาพ…ก็มานั่งคอยเขากันที่ข้างสนามอย่างพร้อมเพรียง (แม้เทรซี่จะสีหน้าไม่เต็มใจนักก็ตาม)
“เอาล่ะ วันนี้พอเท่านี้ล่ะ” ลูซิโนเป่านกหวีดสุดท้ายด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ “ฟังนะพวกนาย! อีกสองอาทิตย์จะมีการจับฉลากเลือกสายการแข่ง และต้นเดือนหน้าเราจะได้รู้กันว่าจะได้เริ่มแข่งวันไหน”
ความจริงจังคร่ำเคร่งขึ้นบนใบหน้าของทุกคนทันทีที่ได้ยิน สำหรับพวกเราทั้งสิบห้าคนแล้ว รักบี้ไม่ได้เป็นแค่กีฬาที่เล่นกันแก้เบื่อ หรือหลักประกันโควตาของวิทยาลัยขึ้นชื่อเพียงเท่านั้น หากแต่มันก็คือเกมที่ทุกคนทุ่มเทจิตใจอันพลุ่งพล่านด้วยเป้าหมายอันร้อนแรง ที่จะคว้าเกียรติยศของอันดับหนึ่งเอาไว้ในมือให้ได้
แม้ว่าพวกเขาจะเคยลงแข่งร่วมกันมาเพียงปีกว่าๆเท่านั้น ทุกคนก็ล้วนแล้วแต่มีเป้าหมายเปล่งประกายวาววับอยู่ในดวงตาอันมุ่งมั่นแบบเดียวกัน
และอีกหนึ่งเรื่องที่รู้กันดีเลย ก็คือ…
“วันนี้วันศุกร์ ฉันจะปล่อยให้พวกนายรื่นเริงกันไปก่อน…พักเสียให้พอล่ะ แล้วอาทิตย์หน้าเราจะเริ่มฝึกจริงจังกันล่ะ”
ความโหดร้ายของตารางการฝึกที่กำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้านั่นเอง…
ทุกคนตะโกนตอบรับ พอดีกับที่คุณครูสาวประจำห้องพยาบาลเดินมาถึงสนามพอดี เธอโบกมือทักทายพวกไมค์ที่แทบจะนอนแผ่หลับกันไปทั้งๆอย่างนั้นอยู่ข้างสนามแล้วเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปหาคนรักของตนที่ส่งเสียงออดอ้อนมาให้ เหมือนไม่เคยปั้นหน้าดุใครมาก่อน แบบหน้ามือเป็นหลังมืออย่างถึงที่สุด…
ปกติวิลเลี่ยมไม่ใช่คนอาบน้ำนานอะไร และแม้จะรู้ดีว่าทันทีที่ออกจากห้องชมรมไปเขาจะโดนลากตัวไปในทันที เด็กหนุ่มก็ไม่มีความคิดที่จะยื้อเวลาตัวเองให้อยู่ในห้องน้ำนานขึ้นแต่อย่างใด
ดังนั้นทันทีที่เขาก้าวขากลับออกมาที่สนาม ชาวแก๊งก็โอบแขนพาดบ่าลากเขาออกไปพร้อมเทรซี่ ที่มีสีหน้าไม่เต็มใจอย่างถึงที่สุดเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมในวันนี้
“เอ็มม่า พวกผมขอเมนูเดิมเลยนะ…แล้วก็เอาเมนูพิเศษของวันนี้ด้วย ขอบคุณครับ!” ไมค์ตะโกนบอกสาวเสิร์ฟคนสนิทที่กำลังถือเค้กไปเสิร์ฟอยู่ ทันทีที่เหยียบเข้ามาด้านในร้าน
“รับทราบ! รอที่โต๊ะประจำได้เลยนะ” เอ็มม่า เบ็คหันมายกยิ้มตอบ
ทุกคนหันไปขอบคุณเธอเป็นเสียงเดียวกันก่อนจะทยอยเดินเข้าไปนั่ง อิทธิพลของเย็นวันศุกร์ที่อากาศอบอุ่นเป็นใจนัก ทำให้ภายในร้านคึกคักด้วยลูกค้าทั้งหน้าใหม่และหน้าเดิม
“เล่ามาเลยนะ! ใคร? ยังไง!?” ทันทีที่ทิ้งตัวกันลงนั่งเรียบร้อยแล้ว ไมค์ก็หันมาคาดคั้นวิลเลี่ยมในทันที
“ใจเย็นก่อนน่า…ใจเย็นก่อน” เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ยกสองมือขึ้นปราม สองข้างแก้มขึ้นสีเล็กน้อยเมื่อคิดไปถึงคนที่ทำให้ใจเต้นขึ้นมาในตอนนี้ “ไม่ได้ว่าจะมีความลับหรืออะไรแบบนั้นหรอกนะ ก็แค่ยังไม่มั่นใจเท่านั้นเอง…”
กองหน้าหนุ่มในโหมดไม่มั่นใจเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะได้เห็นในชีวิตนี้ กลุ่มเพื่อนทั้งสี่ล้วนแล้วแต่มองหน้ากันไปมาด้วยแววตาประหลาดใจปะปนไปกับความช็อก
วิลเลี่ยมที่ไม่ได้รู้สึกตัวถึงความตกตะลึงของเพื่อนๆเลยสักนิด เริ่มเล่าถึงเหตุการณ์ในวันฝนตกที่ทำให้มีโอกาสได้ขลุกอยู่ที่ร้านขายดอกไม้ ใช้เวลาช่วงสั้นๆก่อนพระอาทิตย์จะตกดินอยู่ข้างเคาน์เตอร์ และเฝ้ามองรอยยิ้มของชายหนุ่มผู้แสนอ่อนโยนในยามที่เพ่งสมาธิทำงาน
เรื่อยมาจนถึงวินาทีที่ทำให้เขาเริ่มรู้สึกตัวว่า จังหวะหัวใจที่เต้นอื้ออึงอยู่ในอกดังสะท้อนก้องอยู่ในหู ผิดแปลกและทิ้งความรู้สึกหวานไหวเอาไว้ ต่างไปจากยามปกติทั่วไปมากแค่ไหน…
“เห้ยๆ เอาจริงดิ…” นอร์ตันพึมพำกับตัวเอง
“อินเลิฟสุดๆไปเลยนี่หว่า…” ไนบ์สมทบ
“โอ๊ยยยย ลำแสงสีชมพูเข้าตาเต็มไปหมด แสบตาจังเลยยย” และไมค์โวยวายยกมือขึ้นปิดตา ฟุบหน้าลงกับโต๊ะดีดดิ้นไปมา
“ชักอยากจะรู้แล้วสิ ว่าใครกันนะทำให้นายเขินหน้าแดงได้ขนาดนี้” เทรซี่ถองศอกใส่เพื่อนเล็กน้อย ถามด้วยดวงตาเป็นประกายวาววับสนอกสนใจ
“ใครจะไปรู้ เขาอาจจะเป็นคนที่จัดดอกไม้ให้แฟนของเธอก็ได้นะ” วิลเลี่ยมตอบกลับด้วยรอยยิ้มขำ ไม่ได้ตั้งใจจะแซวอะไรมากไปกว่าแค่เพราะรู้สึกว่าช่อดอกไม้ของเธอ ดูคุ้นตาเสียเหลือเกินเพียงเท่านั้น
และแน่นอนว่าเมื่อเรื่องวนกลับมาหาตัวเองแบบไม่ทันตั้งตัว เด็กสาวเพียงคนเดียวของกลุ่มก็รัวฝ่ามือลงบนไหล่เขาด้วยความแรงทั้งหมดเท่าที่มือเล็กๆนั้นจะทำได้
เสียงหัวเราะครึกครื้นขึ้นมาในกลุ่มอีกครั้ง พร้อมขนมหวานที่เอ็มม่านำมาเสิร์ฟ…เหล่าผู้เสพน้ำตาลแทนน้ำ จ้วงช้อนลงกับพาร์เฟ่รวดเร็วจนมองตามแทบไม่ทัน บรรยากาศน่าคิดถึงที่เหมือนไม่ได้สัมผัสมาตลอดหลายสัปดาห์โอบล้อมเหล่าเด็กๆเอาไว้
วิลเลี่ยมเหลือบมองไปยังท้องฟ้าด้านนอกเล็กน้อย ในหัวไพล่นึกไปถึงบุคคลที่ถูกกล่าวถึงในบทสนทนา แม้ว่ามือจะกำลังยั้งยื้อแย่งถ้วยขนมมาไว้ใกล้ตัวให้มากขึ้นอยู่ก็ตาม
หวังว่าวันนี้จะยังไปทันก่อนร้านปิดนะ…
…………………………………………
มู่ลี่ถูกคลี่ลงคลุมบานหน้าต่างไปแล้วในตอนที่วิลเลี่ยมมาถึง และประตูหน้าที่พลิกป้ายเปลี่ยนเป็น ‘Close’ เรียบร้อย ก็ตอกย้ำอย่างเงียบงันเช่นกันว่าเขามาช้าเกินไปแล้ว
ความเหงาแล่นเข้ามาเกาะกุมในใจอย่างรวดเร็ว เมื่อคิดว่าแม้จะออกวิ่งจนสุดฝีเท้าก็ยังมาไม่ทันอยู่ดี ไหล่แข็งแรงก็ตกลู่ลงอย่างช่วยไม่ได้
ทว่าในตอนที่เขาคิดที่จะตัดใจและกลับบ้านแล้วนั่นเอง…
“อ้าว? มาเสียเย็นเชียว” เสียงทุ้มนุ่มที่ชวนให้รู้สึกคิดถึงนักก็ดังทักทายขึ้น
เด็กหนุ่มหันมองตามเสียง…คนอายุมากกว่ายืนอยู่ไม่ไกล เส้นผมที่มักจะรวบเอาไว้เสมอนั้นถูกปล่อยลงมาล้อมกรอบใบหน้าคมเอาไว้เหมือนกับครั้งแรกที่พวกเราเจอกัน ผ้าคลุมปักลวดลายพื้นเมืองคลี่คลุมอยู่บนไหล่กว้าง ที่สะพายกระเป๋าสีน้ำตาลอ่อนลวดลายเข้ากันเอาไว้
“อีกเดี๋ยวก็มืดแล้วนะ เป็นเด็กดีแล้วก็รีบกลับบ้าน เข้าใจไหมเจ้าหนู?” คำพูดสั่งสอนหากแต่น้ำเสียงกลับกลั้วหัวเราะไม่จริงจัง มาพร้อมฝ่ามือใหญ่ที่เอื้อมมาขยี้ลงบนศีรษะ…หยอกเย้าและอ่อนโยนนักจนผิวแก้มเผลอร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“ผมไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ…” เขาประท้วงออกมาอย่างไม่จริงจัง
เด็กหนุ่มอยากจะต่อบทสนทนาเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย แต่ท้องเจ้ากรรมที่ขนมหวานไม่สามารถเติมมันจนเต็มได้ ก็ส่งเสียงร้องโครกครากขัดขึ้นมาเสียก่อน…
เควินนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ “ฉันรู้จักร้านดีๆนะ อยากไปทานมื้อเย็นด้วยกันหน่อยไหม”
“เลี้ยงผมรึเปล่า?” เด็กหนุ่มพยายามหยอกกลับไปบ้าง หากแต่ก็ขัดเขินนัก…ความรู้สึกหวานไหวเกาะกุมอยู่ในอกจนหุบยิ้มไม่ลง
เสียงหัวเราะน่าฟังดังมาให้ได้ยินอีกครั้ง พร้อมกับรอยยิ้มที่เด็กหนุ่มมั่นใจว่าเขาสามารถนั่งมองได้โดยไม่เบื่อเลยตลอดทั้งวัน “ได้สิ ฉันจะเลี้ยงเอง”
อันที่จริงเขาก็แอบคิดๆมาสักพักหนึ่งแล้ว ว่าจากข้าวของเครื่องใช้ สไตล์การแต่งร้านและบรรยากาศรอบตัว…เควิน อลอนโซว์นั้น ดูเหมาะกับการสวมหมวกปีกกว้าง ยืนอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์อันอบอุ่น โดยมีม้าและทุ่งหญ้าสีเขียวสดใสเป็นพื้นหลังมากนัก
และเมื่อชายหนุ่มพาเขามายังร้านอาหารสไตล์ชนพื้นเมือง ที่เจ้าตัวบอกว่าเป็นร้านประจำแล้วนั่นเอง…เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้คิดผิดเลยแต่อย่างใด…
สิ่งแรกที่เขาสัมผัสได้นอกจากความอัธยาศัยดีของคุณเจ้าของร้านร่างท้วมที่ชะโงกหน้าออกมาทักทายแล้ว คือเสียงแซกโซโฟนที่บรรเลงแจ๊ซสบายๆ จากวงดนตรีเล็กๆบนเวทีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่มุมในสุดของร้าน
แสงไฟสีส้มที่สาดส่องไปทั่วบริเวณ กลิ่นอาหารหอมๆที่ให้ความรู้สึกแตกต่างกับร้านอาหารทั่วๆไป และถึงจะไม่ได้มีผู้คนแน่นร้านมากนัก ก็ไม่ได้ทำให้บรรยากาศโดยรวมรู้สึกเงียบเหงาเลยแต่อย่างใด
เควินเดินนำตรงดิ่งไปยังโต๊ะริมหน้าต่างมุมขวาสุดของร้าน เด็กหนุ่มเดาเอาจากท่าทางมั่นอกมั่นใจอันเป็นธรรมชาตินักนั้น ว่ามันคงเป็นที่นั่งประจำของอีกฝ่าย
บนโต๊ะที่วางแจกันดอกกุหลาบสีแดงเอาไว้ มีใบเมนูแผ่นพับสีน้ำตาลเข้มวางเตรียมอยู่ก่อนแล้ว…เด็กหนุ่มหยิบมันออกกาง ดวงตาไล่ไปยังเมนูอาหารที่เขียนเรียงกันอยู่บนนั้นด้วยความงุนงง
มันไม่ใช่ชื่อที่เขาคุ้นชินหรือเคยผ่านตามาก่อน และเมื่อไม่มีภาพประกอบอะไรให้เลย เด็กหนุ่มก็ได้แต่ก้มๆเงยๆมองเมนูสลับกับชายหนุ่มผมน้ำตาลที่นั่งอยู่ตรงข้ามเพียงเท่านั้น…
และดูเหมือนว่าคนที่ถูกมองเองก็จะรับรู้ถึงเรื่องนั้นแล้วเช่นกัน เมื่อดวงตาคู่นั้นเงยขึ้นสบกับเขาได้อย่างทันท่วงที “สเต๊กเนื้อของที่นี่น่ะอร่อยสุดๆเลยล่ะ แต่ถ้าชอบพวกปลามากกว่าก็แนะนำแฮมเบอร์เกอร์ฟิชชิ่งนะ”
ดวงตาคู่นั้นสนใจอยู่กับใบเมนู ปลายนิ้วที่จัดดอกไม้อย่างนุ่มนวลอยู่เสมอไล่ไปตามตัวรายชื่อที่เขียนเอาไว้บนนั้น เสียงทุ้มอธิบายคร่าวๆอย่างตั้งอกตั้งใจและน่าฟังเป็นที่สุด…
วิลเลี่ยมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าสุดท้ายตัวเองสั่งอะไรออกไป
ยิ้มแบบนั้น…ขี้โกงเกินไปแล้วนะ…
“หน้าตานายดูเหนื่อยๆนะ วันนี้ซ้อมหนักหรือ?” บทสนทนาเริ่มขึ้นเมื่อสาวเสิร์ฟผิวสีเดินจากไป พร้อมวางแก้วเครื่องดื่มสำหรับสองที่เอาไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก…แต่อาทิตย์หน้าจะเริ่มซ้อมแบบจริงจังจริงๆแล้ว ผมคงมาไม่ทันก่อนคุณปิดร้าน…”
เด็กหนุ่มเขี่ยปลายนิ้วไปบนแก้ว หยดน้ำเล็กๆส่งความเย็นมาแตะที่ผิวหนัง ความรู้สึกปนเประหว่างใจเต้นตึกตักกับความเหงาแบบแปลกๆ ยามเมื่อระลึกได้ถึงความหมายของประโยคที่ตัวเองเพิ่งจะเอ่ยออกไป
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วสักหน่อย”
เควินเท้าคางมองตรงมาด้วยดวงตาสีโกโก้ ที่สะท้อนแสงจากไฟสีส้มภายในร้าน อบอุ่นนักราวกับกำลังนั่งอังมืออยู่หน้าเตาผิง อย่างที่เด็กหนุ่มไม่สามารถหยุดมองได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว
ข้อเท็จจริงที่ว่าร้านดอกไม้นั่นจะตั้งอยู่ตรงนั้นต่อไป และเปิดขึ้นในตอนเช้าของทุกวันเหมือนดั่งเช่นทุกที มอบความมั่นใจให้กับผู้ฟัง แต่ความจริงที่ว่าเขาเองจะไม่ได้เจออีกฝ่ายทุกวันเหมือนอย่างที่ใจต้องการนั้น ก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้เช่นกันว่ามันกำลังจะเกิดขึ้นในวันจันทร์ที่จะถึงนี้แล้วเช่นกัน…
“แต่ผมอยากเจอเควินทุกวันเลยนี่…”
คนอายุมากกว่าชะงักไปเล็กน้อย ความคิดบางอย่างแวบเข้ามาในหัวในจังหวะที่เจ้าตัวยกมือขึ้นลูบลงบนศีรษะกลมนั้นเบาๆ และเด็กหนุ่มก็ยิ้มรับสัมผัสนั้นแต่โดยดี “ชอบฉันขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ?”
คำว่าชอบที่ถูกเอ่ยออกมาอย่างง่ายดาย ทำให้เด็กที่โดนจับได้หน้าเห่อร้อนขึ้นมาในฉับพลัน…ถึงจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าท่าทีที่เขาแสดงออกมา มันง่ายดายนักที่จะถูกมองให้ทะลุปรุโปร่งก็ตาม…
“นาย…” เควินพึมพำ “ไม่คิดว่าพวกเราต่างกันเกินไปหน่อยหรือ เจ้าหนู?”
วิลเลี่ยมจ้องอีกฝ่ายนิ่ง ความลำบากใจเกาะกุมอยู่ทั่วใบหน้าคมเข้มนั้นไปหมด…ความรู้สึกราวกับกำลังถูกปฏิเสธอยู่กลายๆ ทำให้ภายในอกข้างซ้ายของเขานั้นเจ็บแปล๊บขึ้นมาในทันที และทุกอย่างก็แสดงออกผ่านสีหน้าอ่อนเยาว์อย่างเปิดเผย จนคู่สนทนาชะงักค้างเลือกหาคำพูดถัดไปที่จะเอ่ยไม่ออกไปครู่ใหญ่ๆ
“ฟังนะ…นายอยู่เกรดสิบเอ็ดใช่ไหม? ก็คงอายุราวๆสิบเจ็ดสิบแปด แล้วดูฉันสิ…” ชายหนุ่มผายมือออกข้างตัว “ฉันอายุสามสิบกว่าแล้วนะ”
“เรื่องนั้นไม่เห็นจะสำคัญเลยนี่!” คำเถียงมาพร้อมแววตาดื้อดึงอันจริงจัง “อีกไม่กี่อาทิตย์ผมก็อายุสิบแปดแล้วนะ!”
เด็กหนุ่มดึงฝ่ามือใหญ่นั้นมาจับไว้ ใบหน้าโกรธขึ้งค่อนไปทางแง่งอนนาบข้างแก้มลงกับความอบอุ่นนั้น ดวงตาสีเข้มช้อนมองตรงมาให้คนอายุมากกว่าชะงักเกร็ง…ชายหนุ่มยกมืออีกข้างขึ้นกุมหน้าผากเอาไว้ สีหน้าอ่อนใจมาพร้อมเสียงถอนหายใจยาวเหยียด
“จะไว้ใจกันเกินไปแล้วเจ้าหนู คิดว่าเรารู้จักกันมากขนาดจะอ้อนแบบนี้แล้วหรือ?” ปลายนิ้วสากที่แตะกลีบดอกไม้อย่างทะนุถนอมหยิกสั่งสอนเด็กไม่ระวังตัว ด้วยแรงระดับที่มากพอจะเรียกเสียงร้องโยเยมาให้ได้ยิน
เนิ่นนานจนเควินพอใจแล้วนั่นเอง เจ้าตัวจึงยอมปล่อยแก้มเด็กหนุ่มให้เป็นอิสระ มันทิ้งรอยแดงจางๆเอาไว้ให้คนกระทำรู้สึกผิดเล็กน้อย จนอดไม่ได้ที่จะแตะฝ่ามือลงเป็นการขอโทษกลายๆ…ดูเหมือนผิวแก้มนั้นจะเพิ่มระดับความแดงขึ้นอีกหน่อยกับการกระทำนั้น
“ผมชอบเควินนี่หน่า…อ้อนคนที่ชอบน่ะ ไม่ได้เลยหรือ?” เสียงพึมพำแผ่วเบาเท่าๆกับเสียงกระซิบ แต่คนหูดีก็ยังได้ยินทุกประโยคอย่างชัดถ้อยชัดคำอยู่ดี “เควินล่ะ…ชอบผมบ้างรึเปล่า?”
“ริจีบคนแก่ก็ต้องใจเย็นหน่อย…จะเที่ยวมาขอเป็นแฟนเอ่ย บอกชอบเอ่ยแบบนี้น่ะมันยังเร็วเกินไปรู้ไหม” น้ำเสียงเอ็นดูเข้ากันนักกับรอยยิ้มแบบผู้ใหญ่ที่รู้ทันทุกอย่างไปหมด
“ถ้างั้น…เควินไม่ได้ไม่ชอบผมใช่รึเปล่า?”
ชายหนุ่มหัวเราะออกมาอย่างเสียไม่ได้ พอดิบพอดีกับที่อาหารที่สั่งถูกนำมาเสิร์ฟ…คุณเจ้าของร้านขายดอกไม้พยักหน้าขอบคุณสาวเสิร์ฟเล็กน้อยก่อนจะหันมาตอบ “ใช่…ฉันไม่ได้ไม่ชอบนายหรอกนะ”
…………………………………………
มื้อเย็นอร่อยมาก วิลเลี่ยมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าในจัตุรัสมีร้านอาหารที่อร่อยขนาดนี้แล้วเขายังไม่เคยลองมาก่อน (ถึงร้านจะตั้งอยู่ในซอกซอยลึกไปหน่อยก็ตาม) เด็กหนุ่มหมายมั่นอยู่ในใจขณะที่ก้าวเท้าออกจากร้าน ว่าจะต้องชวนเพื่อนๆมาลองให้ได้คราวหน้า
ฤดูร้อนทำให้ท้องฟ้ามืดช้าลงนิดหน่อยก็จริง แต่ช่วงเวลาใกล้สองทุ่มแบบนี้ยังไงเสีย ดวงจันทร์ก็ลอยเด่นเป็นสง่าอยู่บนฟ้าแล้วอยู่ดี
พวกเราก้าวเดินอย่างไม่รีบร้อนอยู่บนทางเท้าอันเงียบสงบ เควินผู้ชิงจ่ายเงินไปก่อนที่เขาจะได้ขอหารเงยหน้ามองฟ้าเล็กน้อย
เด็กหนุ่มตั้งใจจะต่อรองเพื่อคืนส่วนของตัวเองให้อีกฝ่ายให้ได้ แต่กลายเป็นว่าเขาได้รับฝ่ามือใหญ่มาขยี้ลงบนศีรษะแทน…รอยยิ้มที่มองกี่ครั้งวิลเลี่ยมก็ยอมรับแต่โดยดีว่าพ่ายแพ้ โดยไม่คิดสู้ตั้งแต่แรกประดับอยู่บนใบหน้าคมเข้มแบบหนุ่มทางใต้นั้น “วันนี้ตามใจคุณลุงหน่อย แล้วเอาไว้ตอนมาเดตค่อยหารกัน โอเคไหม?”
“ดะ…เดต…งั้นเหรอ…?” แก้มร้อนอีกแล้วตอนที่ละล่ำละลักเอ่ยทวนคำนั้นออกมา
“จะจีบกันจริงจังไม่ใช่หรือ? มันก็ต้องมีเดตอยู่แล้วสิ” คนอายุมากกว่าพูดออกมาด้วยท่าทางสบายๆ ที่เด็กหนุ่มเข้าใจแล้วว่าตัวเองชอบมากแค่ไหน
พวกเราคุยกันอีกสองสามประโยคถึงรสชาติอาหาร และบรรยากาศของร้าน ก่อนที่ต่างฝ่ายจะต่างปล่อยให้ความเงียบงันดำเนินต่อไปท่ามกลางสายลมฤดูร้อนที่พัดผ่านมา
มันไม่ได้ดึกเกินไปกว่าสองทุ่มกับอีกสิบห้านาที แต่เควินก็กำชับว่าเจ้าตัวจะขับรถไปส่งให้ได้อยู่ดี ดังนั้นในช่วงอึดใจถัดมาที่คุณปู่สีอิฐคันเดิมถอยจากหลังร้านออกมายังถนนใหญ่ เด็กหนุ่มก็ได้เข้าไปนั่งที่ข้างคนขับอีกครั้ง พร้อมความรู้สึกอบอุ่นที่พองฟูอยู่ในอก
วิลเลี่ยมไม่อยากจะลงจากรถเลยสักนิด แม้จะรู้ดีว่าความพยายามจะปลดเข็มขัดนิรภัยออกอย่างเชื่องช้า จะต่อเวลาของค่ำคืนอันแสนวิเศษนี้ออกไปได้แต่ไม่กี่วินาทีก็ตาม
“ราตรีสวัสดิ์” เควินลดกระจกข้างลงเพื่อพูดแบบนั้น
“ครับ ราตรีสวัสดิ์” และเขายืนคอยเพื่อที่จะตอบกลับไป
กระบะสีอบอุ่นเหมือนกับเจ้าของค่อยๆเคลื่อนไกลออกไปและไกลออกไปจนลับสายตา เขาได้ยินเสียงประตูและเสียงเรียกของแม่มาจากด้านหลัง
คิดถึงเสียแล้วสิ…
.
.
.
.
.
.
.
.
ตอนนี้จะเป็นตอนตัวอย่างตอนสุดท้ายแล้วนะคะ
แล้วพบกันที่งาน Identity V : We meet again นะคะ ❤️