ไม่มีหมวดหมู่

Identity V [First office x Cowboy] : Magical time before the match extinguished

เบอร์เบิร์นเป็นวิสกี้ชนิดใหม่ที่หาดื่มได้เฉพาะในอเมริกาเท่านั้น ด้วยเพราะกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของไม้โอ๊คที่จะเติบโตได้ดีในทวีปแถบนี้ และสูตรการหมักบ่มที่ยากจะหาคนลอกเลียนแบบจากชนพื้นเมือง ก็ล้วนแล้วแต่ทำให้มันกลายเป็นอีกหนึ่งเครื่องดื่มดีกรีแรงนอกเหนือจากรัม ที่เย้ายวนต่อเหล่านักเดินทาง

แน่นอนว่าเขาเองก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ไม่อาจทานทนต่อสีส้มอำพันสะท้อนล้อแสงไฟ และความร้อนแผดเผาที่ทิ้งกลิ่นไม้โอ๊คเอาไว้ในลำคอยามกระดกดื่มนั้นได้เลยเช่นกัน แต่น่าเสียดายนักที่นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายเสียแล้วที่เขาจะได้ดื่มมัน…

เสียงบทสนทนาครึกครื้นของบาร์เหล้าไม่ได้ทำให้โฮเซ่ บาร์เดนท์รู้สึกสนใจอะไรมากมายนัก แต่เขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกันว่าบรรยากาศอันไม่เงียบเหงานี้ ก็ช่วยให้การดื่มอำลาผืนแผ่นดินก่อนการออกทะเลอันยาวนาน มีอะไรให้จดจำมากขึ้นอีกหน่อย

เขาดื่มด่ำกับมันอย่างเต็มที่ พอๆกับที่กรอกแอลกอฮอล์ฤทธิ์แรงลงคอแก้วแล้วแก้วเล่า จนกระทั่งเสียงของคุณเจ้าของร้านจะร้องทักชายหนุ่มมาใหม่ ผู้ทรุดกายลงนั่งถัดจากเขาอย่างร่าเริง “อ้าว! ไงเควิน…ไม่เห็นหน้าซะนานเชียว”

กลิ่นหอมของบางอย่างลอยเข้ามาเตะจมูก ชายหนุ่มไม่แน่ใจนักว่ามันคือกลิ่นเครื่องเทศหรือสมุนไพรอะไรรึเปล่า แต่ที่เขารู้แน่ๆก็คือการที่มันดึงดูดความสนใจของเขาได้อยู่หมัด จนอดไม่ได้ที่จะต้องแอบปรายตามอง

สิ่งแรกที่เขาเห็นคือรอยยิ้มกว้างของชายหนุ่มผิวสีแทนอย่างคนออกแดดสม่ำเสมอ บนใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังหนวดเคราตัดแต่งเป็นทรงเรียบง่าย ดวงตาสีเข้มคู่นั้นเป็นประกายแต่งแต้มชีวิตชีวาจากภายใต้เงาหมวดปีกกว้าง และเสียงทุ้มนุ่มน่าจดจำที่ชายหนุ่มอดคิดไปเสียไม่ได้…ว่าเขาอาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีนักเพื่อจะลืมเลือนมัน

“เพิ่งกลับมาน่ะ ฉันมีของมาฝากด้วยนะมาสเตอร์”

ฝ่ามือใหญ่ภายใต้ถุงมือหนังสีเข้ม หยิบเอาขวดแก้วขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ออกมาจากกระเป๋าเป้ปักลวดลายชนพื้นเมืองไม่คุ้นตา ก่อนส่งมันให้กับคุณเจ้าของร้านที่รับมาพร้อมกับเบิกตาโตอย่างตื่นเต้น

“นายหามาให้จริงๆด้วย! ขอบใจมากเลยนะ”

“ของดีในรอบหลายปีเลยขอบอก ลองดื่มดูเลยสิ” เควินคนนั้นยิ้มกว้างกว่าเดิมเอ่ยกลั้วหัวเราะ

และเมื่อคุณเจ้าของร้านผู้อยู่อีกฝั่งของเคาน์เตอร์ เปิดจุกไม้ก๊อกออกอย่างร่าเริง กลิ่นหอมหวานลอยมาเตะจมูกในทันที

แก้วโอลแฟชั่นบรรจุน้ำแข็งก้อนใหญ่หนึ่งก้อนถูกหยิบออกมาวางสองแก้ว ของเหลวสีอำพันใสค่อยๆรินลงตามการลาดเอียงของขวดแก้ว และเมื่อระดับเครื่องดื่มสูงขึ้นได้ประมาณหนึ่งในสามของตัวแก้วแล้วการรินก็หยุดลง ฝ่ามือใหญ่จากคนทั้งสองคว้าจับผิวแก้วเอาไว้

เสียงกริ้งของเนื้อแก้วกระทบกันกังวานใส ก่อนที่ต่างฝ่ายจะต่างจรดริมฝีปากลงลิ้มรสชาติอย่างร่าเริง

“สมคำร่ำลือ เหล้าที่หมักโดยชนพื้นเมืองเนี่ย…ถ้าหามาตุนที่ร้านได้น่าจะเรียกลูกค้าได้เยอะเลยจริงๆ”

“เสียใจด้วย อันนี้เป็นได้แค่ของฝากเท่านั้นแหละ”

ไม่ได้มีอะไรพิเศษในบทสนทนาเหล่านั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นด้วยท่าทีเป็นธรรมชาติ รูปลักษณ์โดดเด่นที่แตกต่างกับสภาพแวดล้อม หรือจะเป็นกลิ่นเมรัยหวานยวนใจก็ตามแต่ โฮเซ่ก็ได้พบว่าตัวเองไม่สามารถละสายตาไปจากชายแปลกหน้าข้างกายได้เลย

และเมื่อรู้สึกตัวอีกที…เขาก็กำลังตอบรับคำเชิญของชายผู้แย้มรอยยิ้มกว้าง ที่เผื่อแผ่เหล้าหายากมาให้และยื่นแก้วออกไปชนกับอีกฝ่ายแต่โดยดีเสียแล้ว

“เควิน อลอนโซ่ ยินดีที่ได้รู้จัก”

“…โฮเซ่…โฮเซ่ บาร์เดนท์”

“แล้วนายเป็นต้นเรืองั้นหรอ?”

ใช่…การแนะนำตัวของพวกเรา มันก็เริ่มด้วยคำถามง่ายๆแค่นั้นแหละ…

จริงๆเขาไม่ใช่คนช่างคุยนัก แต่จะเพราะบรรยากาศดีๆผสมกับฤทธิ์เครื่องดื่มที่กระดกเข้าไป หรือเพราะเราต่างก็เป็นคนแปลกหน้าต่อกัน ที่ต่อให้เรื่องราวของเขาถูกถ่ายทอดออกไป มันก็จะไม่มีทางมากไปกว่าเรื่องราวของคนแปลกหน้าอยู่วันยังค่ำ…หรืออาจเพราะรอยยิ้มน่ามองที่ทำให้ยากจะปฏิเสธได้นั้น

แต่ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุผลข้อไหนก็ตาม…ในท้ายที่สุดมันก็ทำให้เขาเปิดปากเล่าเรื่องของตัวเองอย่างช้าๆอยู่ดี

เสียงของเขาเอ่ยนำถึงเรื่องราวของต้นเรือหนุ่มกับครอบครัว ที่ครั้งหนึ่ง…เคยรุ่งโรจน์ภายใต้อำนาจอันกว้างใหญ่เหนือน่านน้ำขององค์ราชินี อนาคตสว่างไสว ทรัพย์สินเงินทอง และเกียรติยศ ซึ่งแลกมากับรอยแผลเป็นประปลายมากประสบการณ์…เขาเคยมีทุกอย่าง ณ จุดสูงสุดที่ชายคนหนึ่งในตระกูลของปุถุชนเดินดินคนหนึ่งจะสามารถไขว่คว้าเอาไว้ได้

และเขาก็เสียทุกสิ่งทุกอย่างไป พร้อมกับการออกเรือที่ไม่มีวันหวนคืนของผู้เป็นบิดา…

ความสูญเสียรวดเร็วราวกับพายุคลั่งกลางท้องทะเล ไร้ซึ่งคำเตือน และกลืนกินทุกอย่างจนหมดสิ้นสู่ก้นสมุทรหนาวเหน็บ และนั่นคือทั้งหมดของโฮเซ่ บาร์เดนท์

เรื่องราวจบลงพร้อมกับริมฝีปากที่จิบเครื่องดื่มอึกสุดท้ายในแก้ว นัยน์ตาสีเข้มปลายมองไปยังผู้ฟังที่ยังไม่ได้ตอบกลับอะไรมานอกจากหุบรอยยิ้มน่ามองลงไปสักพักหนึ่งแล้วเท่านั้น…

“นายคงผ่านเรื่องยากๆมาเยอะ…เก่งมากเลยนะที่ยังเดินต่อมาได้ขนาดนี้” คำชมสั้นๆมาพร้อมฝ่ามือใหญ่ที่แตะลงบนลาดไหล่ ปราศจากประแสแดกดัน มีเพียงความจริงใจที่ส่งมาให้เท่านั้น

ไม่มีใครพูดแบบนั้นกับเขามาก่อน…

ไม่มีใครที่จะเห็นใจอดีตขุนนางกระทั่งเครือคอบครัวที่แสร้งสวมหน้ากากปลอบประโลม กลบซ่อนเสียงหัวเราะเยาะเอาไว้เบื้องหลัง…

และมันทำให้เขารู้สึกถึงอะไรบางอย่าง…บางอย่างที่โอบกอดหัวใจของเขาเอาไว้อย่างช้าๆ…ชายหนุ่มไม่ทันได้รู้สึกถึงหยดน้ำที่เอ่อคลอในดวงตาเลยสักนิด จนกระทั่งถูกฝ่ามือใหญ่เช็ดปาดมันออกไปให้

“อยากย้ายที่กันหน่อยไหม?” เควินเสนอ

“ก็ดีเหมือนกัน…” และเขาตอบรับแต่โดยดี

…………………………………

พวกเราเดินเตร่ท้าล้มหนาวที่พัดเอากลิ่นเค็มของทะเลจากท่าใกล้ๆลอยมาแตะจมูก ในมือถือรัมคนละขวด ถึงจะน่าเจ็บใจที่ไม่เหลือเหรียญมากพอสำหรับวิสกี้ แต่สำหรับตอนนี้…รัมอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้วก็ได้

เควินไม่ได้เปิดประเด็นอะไร ไม่ปลอบและในขณะเดียวกันก็ไม่เร่งเร้า เพียงปล่อยให้เขาได้สงบหยดน้ำตาด้วยตัวเอง ในขณะที่คอยเดินอยู่เคียงกันไปเรื่อยๆ มันเป็นคืนที่ดีอย่างที่อดีตต้นเรือผู้มั่งคั่งคิดว่า จะจดจำมันเอาไว้ในส่วนของความทรงจำที่ดีครั้งหนึ่งในชีวิต

ลมหนาวพัดมาระลอกใหญ่พวกเราห่อตัวลงในชุดที่สวม โฮเซ่รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณ…ลมกำลังเปลี่ยนทิศแล้ว

ดวงจันทร์เต็มดวงส่องประกายแสงโดดเด่นกลางม่านรัตติกาลมาสักพักใหญ่ๆแล้ว ก่อนที่เควินคนนั้นจะวางถุงเหรียญลงหน้าเคาน์เตอร์ และโยนกุญแจให้เขาขณะหันไปหัวร่อต่อกระซิกกับสาวสวยเจ้าของโรงแรม

นาฬิกาคุกคูข้างผนังร้องบอกเวลาตีหนึ่งพอดีตอนที่พวกเขาทิ้งตัวลงนั่งกับเตียง พวกเราหัวเราะให้กันนิดหน่อยเมื่อต่างคนต่างก็ไม่คิดว่าจากการดื่มเหล้าในบาร์จะมาจบลงตรงนี้ได้

ผ้าคลุมลายพื้นเมืองถูกถอดออกเมื่อไฟจากเตาผิงเริ่มปะทุได้ที่ แสงสีส้มนวลตาที่สาดเข้ามากระทบร่างกายแข็งแรงสมส่วนนั้น ดูเข้ากับอีกฝ่ายราวกับเจ้าตัวเกิดมาเพื่อใช้อยู่ชีวิตอยู่ท่ามกลางแสงรอบกองไฟ ดึงดูดสายตามากเกินกว่าที่จะห้ามตัวเองไม่ให้มองได้

เควินคนนั้นยกยิ้มส่งมาให้เมื่อรู้ตัวว่าถูกมองอยู่ และในวินาทีถัดมาเขาก็ห้ามตัวเองไม่ให้โถมร่างเข้าใส่อีกฝ่ายได้อีกต่อไป…

…………………………………

เสียงร้องของผู้ชายไม่หวานหูเหมือนกับผู้หญิงหรอก แต่กระแสแหบตำ่ที่ครางเครืออยู่ในลำคอ โฮเซ่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เช่นกันว่า ณ ขณะเวลานี้ที่เขาโถมร่างเข้าสอดรับกับเจ้าของร่างกายแข็งแรงที่หยัดสะโพกขึ้นสูงนั้น มันคือนำ้เสียงเซ็กซี่ที่เขาอยากได้ยินมากที่สุดแล้ว

แผ่นหลังสีแทนเปียกปอนด้วยหยาดเหงื่อไหวไปตามแรงส่งคละเคล้าการหอบหายใจ ส่วนที่ร่างกายของพวกเราเชื่อมต่อกันอุ่นร้อนราวกับกำลังอังมืออยู่หน้าเตาผิง

มันไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับพวกเขาทั้งสองคนอยู่แล้ว ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะปรับจังหวะให้การกอดก่ายกันนั้นดำเนินไปอย่างไหลลื่น…ในจังหวะสุดท้าย เขาขยับดึงให้เควินเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน อดไม่ได้ที่จะซุกใบหน้าลงกับลาดไหล่กว้างนั้น ขยับมือกอบกุมส่วนอ่อนไหวสั่นระริกนั้นเอาไว้ สดับฟังเสียงแหบห้าวนั้นครางเครือสุขสมผสมหอบหายใจผะแผ่วยามเสร็จสมนั้น ด้วยความรู้สึกราวกับนำ้หนักบางอย่างในใจเบาบางลงไปแล้วอย่างช่วยไม่ได้

“ขอโทษนะ…ทำคุณเลอะหมดเลย…” อดีตต้นเรือผู้รุ่งโรจน์เอ่ยคำลุแก่โทษ หลังถอดถอนกายออกมาพร้อมของเหลวสีขุ่น

“ช่วยไม่ได้นี่ อย่าสนใจเลยน่า” แว่วเสียงหัวเราะล้าๆส่งมาให้ ก่อนที่เควินคนนั้นจะหยัดกายลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องนำ้

โฮเซ่มองตามการเดินปะเป้ของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกอยากจะเข้าไปช่วยประคองเสียเต็มประดา แต่เพราะแผ่นหลังที่ยังคงตั้งตรงมั่นคงได้อยู่ของอีกฝ่ายนั้นเอง ที่หยุดความคิดนั้นของเขาเอาไว้

เจ้าของสำเนียงอเมริกันคนนั้นไม่ต้องการความช่วยเหลือกับเรื่องหยุมหยิมแบบนี้หรอก…

พวกเราเดินสวนกันหน้าห้องนำ้ ต่างฝ่ายต่างใช้เวลาชำระล้างร่างกายผ่านนำ้เย็บเฉียบนั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมานั่งเอนหลังพิงกันอยู่ที่ข้างเตาผิง

ไม่มีบทสนทนาระหว่างกันในคราแรก นอกจากเควินที่หยิบเอาแมนโดลินออกมาดีดเป็นทำนองแปลกหูน่าฟัง อย่างที่โฮเซ่เดาว่ามันน่าจะเป็นเพลงของชนพื้นเมือง

บรรยากาศอบอุ่นที่ก่อเกิดขึ้นนี้ไม่ใช่อะไรที่จะสามารถสัมผัสได้ในทุกๆวัน ดังนั้นอาจจะเป็นการรู้สึกไปเองอยู่ฝ่ายเดียวก็ได้ แต่อดีตต้นเรือหนุ่มก็อยากจะคิดว่าพวกเราต่างก็ไม่อย่างให้ช่วงเวลานี้จบลง ทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเมื่อแสงแรกจับฟ้าภาพหน้าเตาผิงนี้ก็จะจางหายไป เหมือนดั่งจินตนาการที่ไม่มีวันเป็นจริงยามไม้ขีดไฟก้านเล็กของเด็กหญิงในนิทานโศกลือชื่อ มอดดับลงท่ามกลางหิมะโปรยปรายเหน็บหนาว

และในตอนที่เควินเลื่อนมือออกมาแตะลงบนบ่าเขา กระชับแน่นเพื่อส่งกำลังใจให้…ง่ายดายและจริงใจนั้นเอง ชายหนุ่มก็อดไม่ได้เลยที่จะเอนศีรษะลงซบบนบ่ากว้างนั้น

“ถ้าตอนนั้นมีคุณอยู่ด้วยก็คงดี…” เขาเอ่ยราวกระซิบ

เควินไม่ตอบอะไรนอกจากปล่อยให้เขาพักสายตาบนลาดไหล่ พร้อมเกาสายแมนโดลินด้วยทำนองเรียบเรื่อยที่ชวนให้รู้สึกสบายใจ

ความเหนื่อยหน่าย ภาระหน้าที่ เป้าหมาย อดีต อนาคต…ทั้งหมดที่เขาแบกมันเอาไว้บนบ่า ขับเคลื่อนร่างกายด้วยปณิธานในหัวใจ เข้มแข็งด้วยแรงผนักดันของเสียงเย้ยหยันรอบกาย ในยามนี้…แม้จะเป็นเพียงชั่วข้ามคืน แต่เขาก็จะได้พักพวกมันทั้งหมดนั้นเอาไว้ เคียงข้างการขับกล่อมของชายแปลกหน้าที่เขารู้จักแค่เพียงชื่อเท่านั้นคนนี้

…………………………………

ยามเช้ามาเยือนเมื่อแสงแดดแรกของวันสาดเข้ามากระทบใบหน้า เขาลืมตาตื่นขึ้นบนเตียงที่จำไม่ได้ว่ากลับขึ้นมานอนตอนไหน เตียงอีกฝั่งไม่มีร่องรอยของคนที่กอดก่ายกันเมื่อคืนอีกแล้ว บนโต๊ะเตี้ยข้างเตาผิงที่ยังหลงเหลือความอบอุ่นแผ่วจางมีชุดอาหารเช้าง่ายๆวางเอาไว้ พร้อมกระดาษแผ่นเล็กๆ

กาแฟในถ้วยยังกรุ่นร้อนอยู่บอกได้ไม่ยากว่าทุกอย่างพึ่งถูกจัดเตรียมก่อนที่เขาจะตื่นขึ้นมาไม่นานเท่านั้น

โฮเซ่ยกเครื่องดื่มขึ้นจิบขณะอ่านข้อความในจดหมายไปด้วย

‘ I know you can move on by yourself.

Kevin ‘

กลิ่นหอมของเมล็ดกาแฟที่ไม่ได้หาได้ทั่วไปนั้น เดาได้ไม่ยากว่าคงเป็นหนึ่งในข้าวของที่ถูกเก็บเอาไว้ในกระเป๋าใบใหญ่นั้น รสขมปร่าที่ปลายลิ้น ทิ้งกลิ่นหอมไว้ในลำคอ เชื้อเชิญให้เขาดื่มดำ่กับมื้อเช้านี้ให้เต็มที่

โฮเซ่ไม่ได้รีบร้อนในการอาบนำ้และเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาจ้องตากับตัวเองในกระจกเพื่อตอกยํ้าว่าช่วงเวลาพักผ่อนนั้นได้หมดลงไปแล้ว

เป้าหมายของเขาจำเป็นต้องได้รับการสานต่อ ความจริงเบื้องหลังพายุคลั่งกลางท้องทะเลจะต้องได้รับการไขกระจ่าง ปณิธานหนักแน่นอยู่ในหัวใจ และสิ่งที่ต้องแบกรับก็ยังคงทิ้งนำ้หนักมหาศาลเอาไว้บนบ่า

แต่ที่มันต่างไปจากก่อนหน้านี้ ก็คือรอยยิ้มที่แย้มประดับอยู่บนมุมปาก…กำลังใจของเขาเต็มเปี่ยมยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

ชายหนุ่มหันกลับมามองห้องพักเป็นครั้งสุดท้าย บรรยากาศอบอุ่นนั้นกำลังจะจางหายไป แต่ทุกสัมผัสจะถูกบันทึกอยู่ในความทรงจำของเขา เพื่อบอกตัวเองว่ากาลครั้งหนึ่งพวกเราต่างเคยได้พบกัน

โฮเซ่ บาร์เดนท์ทิ้งกระดาษแผ่นเล็กไว้เบื้องหลังบานประตูที่ถูกงับปิดลง เสียงจอแจของผู้คนที่เริ่มตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตวันใหม่ดังเข้ามาในโสตประสาท ได้เวลาออกเดินทางอีกครั้งแล้ว

ท่ามกลางท้องถนนวุ่นวายคับคั่งด้วยผู้คนมากมาย เขาเดินสวนกับชายหนุ่มคนนั้น…ชายหนุ่มที่ซ่อนใบหน้าและรอยยิ้มน่ามองเอาไว้ภายใต้หมวกปีกกว้างใบใหญ่

โฮเซ่ไม่ได้หันไปมอง…บางทีอาจเพราะเขารู้ตัวว่า หากมองย้อนกลับไปแล้วเขาจะไม่สามารถหยุดตัวเองที่พร้อมจะเหนี่ยวรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ได้

‘ไปด้วยกันกับผมเถอะ’

คำๆนั้นคือประโยคต้องห้ามเขารู้ดี

ดังนั้นแล้วอดีตต้นเรือหนุ่ม จึงไม่ทำอะไรนอกจากหยิบเข็มทิศออกมาจากกระเป๋า เฝ้ามองปลายเข็มที่ชี้ไปยังเป้าหมายของเขาอย่างเที่ยงตรง และออกเดินไปข้างหน้าอีกครั้ง

หากว่าโชคชะตานำพา ในอนาคตพวกเราจะต้องได้พบกันอีกอย่างแน่นอน

.

.

.

.

.

.

.

.

สวัสดีค่ะทุกๆคน ไม่ได้เข้ามาอัพเดตนานมากๆเลย จริงๆแล้วก็ค่อนข้างยุ่งๆเลยค่ะตอนนี้

แต่วันนี้เป็นวันพิเศษ วันเกิด cowboy, Kevin Alonso ค่ะ

ก็เลยพยายามหาเวลามาลงฟิคเรื่องนี้ค่ะ ><

จริงๆแล้วเมนคู่หลักจะเป็นเควินกับวิลเลี่ยมนะคะ แต่คู่นี้ก็น่ารักมากๆเลยค่ะ

สำหรับเราแล้ว โฮเซ่กับเควิน เราไม่ได้กำหนดโพตายตัวค่ะ รู้สึกว่าพวกเขามีความเป็นผู้ใหญ่มากๆ

จนเรื่องแบบนี้สามารถสลับโพกันได้ ไม่ฟิคตำแหน่งบนเตียง แค่อยู่ด้วยกันแล้วรู้สึกดีก็พอแล้ว

อะไรทำนองนั้นเลยค่ะ

ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามนะคะ

ด้วยรัก JinJan ค่ะ

ใส่ความเห็น