One Piece

One piece The High school Episodes : Uproariously languor XII

บทที่ 11 : ครอบครัว?

 

ซันจิตื่นเพราะแรงเขย่าและเสียงนุ่มที่ปลุกเธออย่างอ่อนโยน ก่อนที่รถแมวจะเคลื่อนมาถึงหน้าประตูใหญ่ของคฤหาสน์เพียงเล็กน้อย คฤหาสน์ไม่ได้เปลี่ยนไปจากตอนที่เด็กสาวจากไปนัก แต่มันดูเล็กกว่าแต่ก่อนนิดหน่อยซันจิคิดว่ามันเป็นเพราะเธอสูงขึ้น

ที่หน้าประตูไม้ขนาดใหญ่ที่เปิดกว้างนั้นมีสาวใช้ในชุดเมดยืนคอยต้อนรับอยู่ ทันทีที่รถแมวเคลื่อนตัวไปหยุดที่หน้าทางเข้า บรู๊คก็ลงจากรถและยื่นมือมาให้เธอ เด็กสาวไม่ลังเลที่จะยื่นมือจับตอบเพื่อพยุงตัวลงจากรถลาก

“ท่านซันจิ ท่านจั๊ดและเจ้าชายท่านอื่นๆรอท่านอยู่ในห้องนั่งเล่น เชิญทางนี้เจ้าค่ะ” เมดสาวที่สวมเครื่องแบบต่างจากคนอื่นๆเอ่ยขึ้นและก้มหัวให้เธออย่างนอบน้อม ก่อนผ่ายมือและเดินนำเข้าไปภายในปราสาท

“ไม่รู้มาก่อนเลยนะว่าเดินเข้าบ้านตัวเองจะยากขนาดนี้” ซันจิเอ่ยประชดประชันตัวเอง ใบหน้าขาวนิ่งสงบเหมือนผิวนํ้า สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะก้าวเดินลงไปยังพรมสีเลือดหมูที่เธอไม่เคยชอบมัน

สองข้างทางเต็มไปด้วยภาพวาดราคาแพงและมีชื่อเสียง บางส่วนก็เป็นภาพวาดครอบครัวตั้งแต่ที่มีเพียงภาพของจั๊ด จนกระทั่งภาพของเหล่าเจ้าชายวินสโม๊คในวัยต่าง แน่นอนว่าไม่มีเธออยู่ในนั้น…

“ห้องนี้ค่ะท่านซันจิ” เมดสาวหลีกทางให้ซันจิเมื่อนำเธอมาจนถึงห้องแล้ว

ซันจิไม่อยากเข้าไปเลย…

 

แกร๊ก!

บานประตูเปิดออก เด็กสาวก้าวเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น ‘ครอบครัว’ ที่เธอไม่ได้เห็นหน้ามาเสียนานนั่งกันอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาแบบที่เธอไม่ต้องการจะเห็นนัก

“กลับมาแล้วงั้นหรอซันจิ” เสียงเย็นชาทรงอำนาจดังขึ้น บิดาที่เธอไม่เคยยอมรับไม่ได้ละสายตาจากเอกสารในมือมาคุยกับเธอด้วยซํ้า

อิชิจิฉีกยิ้มกว้างออกมาทันทีที่เห็นเธอ เขาอ้าแขนกว้างเดินตรงเข้ามาโอบไหล่เธอเอาไว้อย่างสนิทสนม เอ่ยบอกว่าเหงาแค่ไหนตอนที่เธอไม่อยู่ด้วยนํ้าเสียงไม่จริงใจ นิจิเองก็ยอมวางเครื่องเกมในมือตรงมาโอบไหล่เธออีกข้าง เอ่ยเป็นลูกคู่กับอิชิจิอยู่ไม่ห่าง

“อย่ามาแตะต้องตัวฉัน” ซันจิปัดแขนพี่ชายทั้งสองออกไปไกลๆ เดินตรงไปนั่งตรงโซฟาที่ว่างอยู่ “เรย์จูล่ะ”

เด็กสาวไขว่ห้างหยิบบุหรี่ออกมาจุดสูบ เอ่ยถามลอยๆไม่เจาะจงว่าต้องการจะพูดกับใครเป็นพิเศษ

“ไปรับยนจิ” จั๊ดเอ่ยตอบ

บรรยากาศภายในห้องนั่งเล่นเต็มไปด้วยความมาคุ อิชิจิกลับไปนั่งจิบชาที่ที่ของตนอีกครั้ง ฟังเสียงนิจิบ่นพึมพำว่าน้องสาวตัวเองเย็นชาแค่ไหนแบบไม่ใส่ใจนัก ไม่นานพี่ชายคนโตกับน้องชายคนเล็กก็กลับมาถึงคฤหาสน์

ยนจิพาหัวสีเขียวที่ชวนให้ซันจินึกถึงใครคนหนึ่งขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้เข้าในห้องเป็นคนแรก ใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับพวกพี่ๆจนแยกแทบไม่ออกนั้นทะเล้นสมเป็นลูกคนเล็ก เขาตรงเข้ามากอดผู้เป็นพี่สาวแน่น หัวเราะออกมาเสียงดังทักทายเธอเหมือนๆกับที่พี่ชายทั้งสองทำ และซันจิก็ผลักเขาออกอย่างไม่ใยดีเช่นกัน

“ขอต้อนรับกลับบ้านซันจิ” เรย์จูเป็นคนสุดท้ายที่ทักทายเธอ พี่ชายที่ไม่ได้เห็นหน้ามานานแย้มยิ้มอย่างที่เขาชอบทำให้เธอพลางลูบศีรษะเธอแผ่วเบา

เมื่อคนครบองค์ประชุมแล้ว จั๊ดก็เปิดประเด็นเรื่องพูดคุยอย่างไม่รอช้าตามประสาคนงานเยอะ ที่เห็นเวลาเป็นเงินเป็นทองเสมอๆ

“เข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน รู้ใช่ไหมว่าฉันเรียกแกกลับมาทำไม” สายตาเย็นชาจับจ้องไปที่บุตรสาวเป็นครั้งแรก

“รู้สิ…จะให้ฉันแต่งงานกับลูกชายของบิ๊กมัม ให้ตระกูลเกี่ยวดองกันเพื่อที่คุณจะได้ยืมแรงของฝ่ายนั้นได้ แบบไม่ต้องเสีย ‘ลูกชาย’ สุดที่รักไป” ซันจิพ่นควันบุหรี่ขึ้นสูงในอากาศ แว่วเสียงชมอย่างไม่ใคร่ใส่ใจนักของอีกฝ่ายว่าก็มีหัวคิดเหมือนกันนี่มาให้หงุดหงิดใจ “สัญญาสิ อย่ายุ่งกับพวกเขา”

ซันจิต่อรอง เธอสบดวงตาสีอความารีนเย็นชาคู่นั้นอย่างตรงไปตรงมาเป็นครั้งแรก

“งั้นแกก็ต้องแต่งงาน” หนุ่มใหญ่เอ่ยด้วยนํ้าเสียงที่ทุ้มตํ่ากว่าเดิม

เด็กสาวเงียบไปครู่หนึ่ง ต่อสู้กับบิดาในนามของตนผ่านทางสายตาที่แสดงความดื้อรั้นออกมาอย่างไม่ปิดบัง

“อีก 5 ปี ฉันจะแต่งให้”

วินสโม๊ค จั๊ดหรี่ตามองเธอคล้ายกำลังใคร่ครวญเป้าหมายในการต่อรองอีกครั้งของบุตรสาว สีหน้าที่นิ่งดูดุดันเสมอในสายตาของเธอ เขายังคงไว้หนวดทรงประหลาดและไม่ชอบโกนมันให้เรียบร้อยเหมือนเดิม ผมสีทองที่ไม่ต่างกับเธอเลยนั้นก็ยังถูกปล่อยทิ้งให้ยาวละแผ่นหลังกว้างสุขภาพดีไม่เปลี่ยน

“ห้ามออกจากเจลมา”

“ไม่นับโฮลเค้ก”

การต่อรองยังเป็นไปอีกครู่ใหญ่ๆจนพี่น้องคนที่เหลือจ้องกันตาไม่กระพริบ ตอนแรกที่พวกเขาให้คนไปตามสืบเรื่องของซันจิ ก็อดตกใจไปเสียไม่ได้ที่น้องสาวไม่เอาไหนแสนจะอ่อนแอคนนั้น ไปเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มหมวกฟางที่เลื่องชื่อ แถมเจ้าตัวก็จัดอยู่ในชั้นแนวหน้าของกลุ่มเสียอีก

พอมาเจอกันวันนี้ทุกคนในห้องก็ต้องยอมรับกับโดยดุษฎีว่า เด็กหญิงตัวน้อยเติมโตขึ้นมาเก่งกล้ากว่าแต่ก่อนมากทีเดียว

“เอาแบบนั้นก็ได้ ฉันก็ไม่ได้อยากจะกีดกันแกสักเท่าไรหรอก” จั๊ดตกลงในที่สุด “ฉันย้ายแกไปอยู่โรงเรียนสำหรับเชื้อพระวงศ์แล้ว ปีหน้าก็เข้าเรียนที่นั่นซะหลังจากนั้นแกจะกลับมาเรียนต่อที่เจลมา แล้วอีก 5 ปีตามที่แกขอ…”

“แก/ฉัน จะแต่งงานกับลูกชายของบิ๊กมัม” สองเสียงเอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน

“เข้าใจก็ดี เรื่องที่จะพูดก็มีแค่นี้” เมื่อได้รับคำตอบที่พึงพอใจจั๊ดก็เดินออกจากห้องนั่งเล่นไป ซันจิไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะไปที่ไหน…ตอนนี้เธอเหนื่อยเกินกว่าที่จะสนใจด้วยซํ้า ว่าตัวเองกำลังถูกพี่ชายสองคนและน้องชายอีกหนึ่งล้อมเอาไว้

“เธอรู้อะไรไหม พวกเราดีใจมากนะที่เธอกลับมา” อิชิจิดึงแขนซันจิให้ลุกขึ้นยืน

“ได้ข่าวว่าไปอยู่กับพวกหมวกฟางสินะ ใช้ได้เลยนิหน่า” นิจิที่เตี้ยที่สุดในบรรดาสามพี่น้องโน้มใบหน้าลงมาพูดระดับเดียวกับเธอ

“ไม่ต้องทำเป็นพูดนั่นพูดนี่หรอก ฉันรู้ที่ของตัวเองดี…และฉันไม่เคยมีความคิดว่าอยากจะกลับมาสักครั้ง” เด็กสาวกอดตัวเองเอาไว้ ไหล่ที่ห่อลงกับใบหน้าที่ก้มจนมองไม่เห็นดวงตาทำให้เธอดูตัวเล็กลงไปอีกถนัดตา

ตัวของเธอสั่นเบาๆความทรงจำในวัยเด็กที่ถูกเหล่าคน ที่เรียกตัวเองว่าพี่น้องกลั่นแกล้งอย่างรุนแรง ร่างกายของเธอจดจำมันได้เป็นอย่างดี และยังยากเกินกว่าจะลืมเลือนมัน

“ฉันไม่อยากมีปัญหา ต่างคนต่างอยู่เถอะ…” เด็กสาวเอ่ยอย่างอ่อนแรง

“อย่าพูดแบบนั้นดิ ไม่สนุกเลยสักนิด!” ยนจิเขย่าร่างแบบบางแรงๆ

สามพี่น้องสบตากันอย่างรู้งาน พี่ชายผมแดงแสยะยิ้มเมื่อเห็นนิจิเตะเข้ากลางลำตัวเด็กสาวเต็มแรง จนเธอกระเด็นไปชนกำแพง เขาเดินเข้าไปกระชากเรือนผมสีทองที่เขาไม่ชอบเอาเสียเลยขึ้นมา สบดวงตากลมโตสีอความารีนนิ่ง

“รู้ไหมเธอฉลาดขึ้นเยอะจนฉันรู้สึกประทับใจขึ้นมาแวบหนึ่งเลย” เขาลูบใบหน้าขาวด้วยนิ้วที่หยาบน้อยๆของตน สัมผัสที่เหมือนจะทะนุถนอมกันทำให้เด็กสาวขนลุก “แต่การที่เธอกลับมาอยู่ที่นี่อีก ก็พิสูจน์แล้วว่าฉันคิดผิดว่ะ!”

 

ผัวะ!

“อย่าได้ใจไปหน่อยเลย! เห็นฉันไม่ตอบโต้ก็อย่าคิดว่าฉันยังเป็นเด็กน้อยอ่อนแอที่ทำได้แค่ยอมให้พวกแกรังแกนะ!!” เด็กสาวตะโกนอย่างเหลืออดหลังจากตวัดขาเรียวซัดใส่พี่ชายของตนจนกระเด็นไปอีกฝั่ง “ฉันบอกแล้วไงว่าให้ต่างคนต่างอยู่ไปน่ะดีแล้ว เข้าใจยากนักรึไง?”

นิจิผิวปากออกมาอย่างเกินคาด เริ่มรู้สึกสนุกมากกว่าเมื่อครู่จนคันไม้คันมืออยากซัดเจ้าน้องสาวอวดดีตรงหน้าเสียเดียวนี้เลย ในขณะที่ยนจิดูจะอึ้งไม่น้อย แต่สำหรับคนที่ใช้กำปั้นแทนสมองแล้ว เรย์จูที่เฝ้ามองอยู่ห่างๆก็ไม่แปลกใจที่น้องชายคนสุดท้องเงื้อหมัดเข้าใส่ แล้วถูกถีบกระเด็นออกมาอย่างง่ายดาย

บุตรีเพียงคนเดียวแห่งวินสโม๊คจุดบุหรี่ตัวใหม่ขึ้นจุดสูบ ล้วงมือข้างหนึ่งลงในกระเป๋ากางเกงส่วนอีกข้างขยับยกขึ้นกระดิกนิ้วท้าทายเหล่าเด็กหนุ่มบ้าเลือดเบื้องหน้า นิจิเป็นคนแรกที่เงื้อหมัดพุ่งเข้าไป ซันจิเบี่ยงตัวหลบหมัดตรงของอีกฝ่ายอย่างง่ายดายแล้วขยับจับแขนข้างนั้นของพี่ชายผมสีนํ้าเงิน ใช้แรงที่พุ่งเข้ามาให้เป็นประโยชน์ เพิ่มแรงเสริมเข้าไปอีกเล็กน้อยก็ส่งให้ร่างที่สูงกว่าเธอนั้นลงไปนอนจับกบได้สบายๆ

และโดยไม่หยุดรอให้หายใจได้ทั่วท้องยนจิก็พุ่งสวนกลับมา เด็กสาวเท้าแขนข้างเดิมลงกับพื้นตวัดขาเตะเข้าใบหน้าที่ละม้ายคล้ายกับเธอเหลือเกินเต็มรัก ส่งเจ้าตัวลงไปนอนกุมใบหน้าตัวเองอยู่ข้างโซฟาที่เรย์จูกำลังจิบชามองมาเงียบๆ อิชิจิที่ปกติจะชอบมองดูจากวงนอกมากกว่ากอดอกแน่น ยังไม่เริ่มทำอะไรไปมากกว่าประเมินความสามารถของน้องสาว

นิจิกับยนจิยังคงไม่ยอมแพ้ต่างคนต่างก็พุ่งเข้าใส่เด็กสาวแบบไม่ออมแรง แต่ซันจิก็รับมือได้ทั้งหมดด้วยท่วงท่าสง่างาม ไม่ใช้แรงอะไรมากมายจนดูเหมือนราชสีห์หยอกเหยื่อตัวเอง ไม่มีความเอาจริงเอาจังเลยแม้แต่น้อย

ผ่านไปครู่ใหญ่สองหนุ่มก็เริ่มเหนื่อยหอบและมีรอยถลอกรอยชํ้าเล็กน้อย ในขณะที่ซันจิยังพ่นควันบุหรี่ออกมาได้สบายๆ โดยไม่แม้แต่จะเอามือข้างที่ซุกอยู่ในกระเป๋าออกมาด้วยซํ้า

“พอดีกว่ามั้งฉันไม่ได้อ่อนแอเหมือนแต่ก่อนแล้ว เขาไม่ได้สอนรึไงว่าให้ประเมินพลังของคู่ต่อสู้ก่อนจะลงสนามอ่ะ” ซันจิเอ่ยคำแทงใจสองหนุ่มอย่างตรงไปตรงมา อดคิดไม่ได้ว่าทั้งๆที่เกิดวันเดียวกันแท้ๆ ทั้งๆที่หน้าตาเหมือนกันแท้ๆ

 

ทำไมถึงได้แตกต่างกันมากขนาดนี้นะ…

 

คำตอบนั้นเธอเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ…เพราะสถานที่ที่เราเติบโต และการเลี้ยงดูของพวกเราต่างกันยังไงล่ะ พวกเขาถูกเลี้ยงดูอย่างเจ้าชายจนกลายเป็นพวกเอาแต่ใจ ถูกฝึกสอนการต่อสู้เพื่อเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งและเป็น ‘นักฆ่า’ อย่างที่วินสโม๊คต้องการ

ไม่ใช่เฉือดเฉือนเพียงในโลกของการทำธุรกิจ แต่หมายรวมถึงโลกใต้ดินด้วย ดังนั้นแล้วเหล่าเจ้าชายทั้งหลายจึงต้องเลือดเย็น และเฉยชาต่อเรื่องเล็กน้อยหยุมหยิม ปราศจากความรักความเมตตาในหัวใจ

แต่ซันจิไม่ได้เป็นแบบนั้น…ไม่แม้แต่น้อย สถานที่ที่เธอเติบโตนั้นอบอุ่นและเต็มไปด้วยความรัก เธอเข้าใจว่าอิชิจิคิดว่าเธอจะเปลี่ยนไปเหมือนพวกเขาแต่ไม่อย่างที่เขาพูดว่า เพราะเธอกลับมาอยู่ที่นี่ มันเป็นสาเหตุมาจากความรักและความเป็นห่วงที่มีต่อเพื่อนพ้องของตน

ถึงจะอยากอธิบายให้คนที่เป็นพี่น้องตามสายเลือดเข้าใจ แต่มันคงไม่มีประโยชน์หรอกพวกเขาไม่มีวันเข้าใจแน่ ถ้าไม่ได้พบสิ่งสำคัญที่ไม่ว่ายังไงก็อยากจะปกป้องเอาไว้ให้ได้เข้ากับตัวเองในสักวัน ถึงเธอจะคิดว่าพวกเขาเปลี่ยนไปนิดหน่อยก็เถอะ แต่ก็แค่นิดเดียวเท่านั้น…

“เหอะ! เสียเวลาที่สุด” แล้วพี่ชายผมนํ้าเงินก็หมดความอดทนเป็นคนแรก เขาเดินไปคว้าเครื่องเกมบนโซฟาเดินออกจากห้องไปเป็นคนแรก ตามด้วยยนจิที่ทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจและอิชิจิ ที่ไม่ทำอะไรนอกจากมองเธอผ่านเลนส์แว่นกันแดงกรอบเหลี่ยมของตน เขายกยิ้มมุมปากและซันจิเดาว่าเขากำลังคิดว่าเรื่องนี้มันสนุกขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะเดินตามออกไป ในห้องนั่งเล่นจึงเหลือเพียงแค่เรย์จูกับซันจิเท่านั้น

เมื่อแน่ใจว่าจะไม่มีใครกลับเข้ามาอีก เรย์จูก็วางถ้วยชาในมือลงกับโต๊ะลุกขึ้นยืนเต็มส่วนสูงที่เป็นรองแค่ยนจิเท่านั้นเข้ามาหาเธอ กางแขนออกกว้างโอบกอดน้องสาวเพียงคนเดียวของตัวเองเอาไว้แผ่วเบา ลูบศีรษะกลมของเธอเหมือนเมื่อก่อนอย่างอ่อนโยน

“ถึงจะไม่อยาก แต่ก็ต้อนรับกลับบ้านนะซันจิ” เสียงนุ่มนวลเอ่ยขึ้นข้างใบหูเล็ก

“อือ” เด็กสาวตอบออกไปเท่านั้นก่อนจะกอดตอบพี่ชายแผ่วเบา

นอกจากโซระผู้เป็นแม่ที่จากไปแล้วนั้น ก็มีเรย์จูนี่แหละที่ซันจิสามารถพูดได้เต็มปากว่าเป็น ‘ครอบครัว’ ที่เธอรัก

“พวกเขาสืบรู้มากแค่ไหน…” เด็กสาวถามเสียงสั่นน้อยๆ ต่อหน้าคนๆนี้เธอไม่จำเป็นต้องปกปิดความอ่อนแอของตัวเอง ความหวาดกลัวที่เก็บกลั้นเอาไว้ตั้งแต่มองเห็นหน้าอิชิจิ ค่อยๆถูกเผยออกมาผ่านไหล่ที่สั่นสะท้าน

“รู้ว่าเธออยู่ที่บาราติเอกับเซฟ ขาแดง เคยได้รับการช่วยเหลือจาก ‘เอ็มเพอร์ริเออร์ อิวานคอฟ’ เรียนอยู่ที่ไหนและข้อมูลเพื่อนๆทุกคนของเธอ” เรย์จููตอบด้วยนํ้าเสียงนิ่งสงบ เขากอดปลอบเด็กสาวตัวน้อยเสมอในสายตาเขาเอาไว้ “แต่เรื่องของคร็อกโคไดล์หรือคนที่เกี่ยวข้องกับเขา คนพวกนั้นไม่รู้ แล้วก็เรื่องที่เด็กหนุ่มคนนั้นกับเธอคบกันด้วย”

ซันจิเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายทันที สีหน้าแดงกํ่าเลิกลั่กที่ไม่รู้ว่าจะตกใจก่อนดีหรือจะเขินอายก่อนดี ทำให้เรย์จูยิ้มและหัวเราะออกมาเบาๆเหมือนที่ทำประจำ

“ฉันอ่านเอกสารพวกนั้นก่อนส่งถึงมือท่านพ่อ และคัดออกบางส่วน” เรย์จูเฉลย

พี่ชายคนโตของวินสโม๊คพาน้องสาวเดินนำขึ้นบันไดเวียนเดิม กลับขึ้นไปยังห้องใต้หลังคาห้องเดิมของเธอสมัยก่อน เพื่อเก็บข้าวของที่เจ้าตัวต้องการไปยังห้องนอนห้องใหม่ที่เมดจัดเอาไว้ให้

ระหว่างทางก็เล่าเรื่องตลอดสิบกว่าปีที่เธอหนีออกจากที่นี่ไปว่าอะไรๆเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน ส่วนมากก็เป็นเรื่องการฝึกฝนอันเข้มงวดของจั๊ดและการทำการทดลอง เพื่อให้ได้มาซึ่งเครื่องไม้เครื่องมือและยา ที่เสริมพลังให้ร่างกายของเหล่าเจ้าชายวินสโม๊คแข็งแกร่งกว่าคนปกติทั่วไป ซึ่งอันทีจริงเรื่องนั้นมันก็ดำเนินมาตั้งแต่ตอนที่เด็กสาวยังอยู่ที่นี่นั่นแหละ เพียงแต่ว่ามันเข้มข้นมากขึ้นมากเท่านั้นเอง

ธุรกิจในโลกใต้ดินของจั๊ดเองก็ขยายไปไกลมากขึ้นมาก เรย์จูที่โตที่สุดในบรรดาพี่น้องทุกคนเองก็ต้องเข้าไปช่วยงานบริหารอยู่บ่อยๆ นอกเหนือจากเวลาเรียน พวกอิชิจิเองก็มีเข้ามาช่วยบ้างแต่สำหรับพวกเขาแล้ว ก็คงจะชอบออกงานภาคสนามเสียมากกว่า นั่งประชุมในห้องแอร์หรือหมกตัวในห้องทดลอง

“ยังเป็นที่ๆน่าเบื่อเหมือนเดิมเลยนะ” ซันจิบ่นงึมงำเรียกเสียงหัวเราะประจำตัวของพี่ชายคนโตได้เป็นอย่างดี

“น่าเศร้าที่เธอต้องกลับมา ฉันรู้ว่าเธอมีความสุขมากแค่ไหนที่บาราติเอ…” เสียงเรย์จูยังคงอยู่ในโทนเดิม แต่ถ้อยคำที่เขาพูดทำให้เธอรู้ว่าเขากำลังรู้สึกผิด ถ้าเดาไม่ผิดคนที่ไปสืบเรื่องของเธอก็คงจะเป็นวินสโม๊คคนโตนั่นเอง “เฮ้…ขอโทษนะทั้งที่ฉันเป็นคนบอกว่าอย่ากลับมาเป็นครั้งที่สอง แต่ฉันกลับเป็นคนพาเธอกลับมาซะเอง”

เมื่อเดินมาถึงห้องใต้หลังคาก่อนที่ประตูจะเปิดออก รัชทายาทองค์โตแห่งวินสโม๊คก็เอ่ยคำขอโทษแสนเศร้าออกมา เหตุการณ์มากมายในอดีตเหมือนภาพม้วนฟิล์มที่ถูกกรอและเล่นใหม่อีกครั้งในหัว ตั้งแต่วันนั้น…วันที่ตัดสินใจพาน้องสาวผู้น่าสงสารให้หนีไป…

 

…………………………………………………………………..

 

วันที่ฝนตกหนักเมื่อสิบกว่าปีก่อนนั้นเรย์จูไม่เคยลืม เพราะมันเป็นทั้งวันที่เธอสูญเสียมารดาผู้อ่อนโยนไปพร้อมกับหัวใจที่แตกสลายของผู้เป็นน้องสาว

ทันทีที่รู้ข่าวว่าท่านแม่ผู้เป็นที่รักได้จากไปแล้ว ด้วยร่างกายที่ไม่แข็งแรงนักหลังจากการคลอดบุตรคนแรก ซํ้ายังต้องเจอกับอาการแทรกซ้อนจากการคลอดบุตรทั้งสี่ และปัจจัยอื่นๆอีกมากมาย

ซันจิมักจะไปเยี่ยมเธออยู่บ่อยๆแม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าเมื่อกลับมาที่บ้านก็จะต้องถูกดุก็ตาม ทุกครั้งหลังจากที่ซันจิกลับไปโซระก็จะรำพึงรำพันให้เรย์จูฟังเสมอว่าซันจิน่ารักแค่ไหน และพวกเธอทำอะไรด้วยกันบ้างในวันนี้

ก่อนวันที่ท่านจะจากไปท่าทางว่าตัวราชินีแห่งวินสโม๊คก็จะรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าตัวเธอนั้นจะอยู่ได้อีกไม่นานนัก เธอฝากฝังทุกสิ่งที่เธอห่วงใยไว้กับเรย์จูและบรู๊ค เธอรู้ว่านอกจากซันจิแล้วจิตใจของเรย์จูเองก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยน แม้จะขัดสิ่งที่จั๊ดสั่งไม่ได้แต่นอกจากนั้น ถ้าเพื่อช่วยเหลือน้องสาวตัวน้อยเพียงคนเดียวแล้ว โซระเชื่อว่าเรย์จูจะทำมันอย่างเต็มที่อย่างแน่นอน

เรย์จูอยากร้องไห้ในวันที่โซระเสีย แต่เขาก็รู้ดีว่าตัวเองทำไม่ได้ ถ้าเขาร้องไห้พวกท่านพ่อก็จะเพ่งเล็งมาที่เขาและซันจิเองก็จะร้องไห้หนักมากกว่านี้ เขาจึงทำตัวเป็นพี่ชายที่เข้มแข็งและโอบกอดปลอบน้องสาว ที่ร้องไห้มานานมากแล้วเหมือนทุกครั้งที่เขาทำ เมื่อเขาทำแผลให้ซันจิที่ถูกเหล่าพี่น้องคนที่เหลือรังแก

เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าเด็กน้อยที่อายุไม่ถึงสิบขวบคนนั้น จะพูดความต้องการว่าอยากจะหนีไปจากสถานที่แห่งนี้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจเสียทีเดียวดังนั้นสิ่งที่เรย์จูทำจึงเป็นการพาน้องสาวหนี

ถือว่าเป็นโชคดีก็ไม่ผิด เมื่อวันนั้นอาณาจักรเจลมากำลังเคลื่อนไปยังรอยต่อระหว่างนานนํ้าทางเหนือและตะวันออก เรือสำราญที่เผลอเคลื่อนเข้ามาใกล้เจลมาในตอนนั้นถูกกักเอาไว้ ตรวจสอบว่าใช่เรือของฝั่งศัตรูหรือไม่ และกำลังจะได้รับการปล่อยกลับสู่ทะเลอิสบูล ทะเลเล็กๆที่สงบสุขที่สุดในน่านนํ้าทั้งสี่

เรย์จูง้างลูกกรงเหล็กที่สร้างขึ้นแทนหน้าต่างห้องด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลเกินตัว อุ้มซันจิไว้ในอ้อมแขนบอกให้น้องสาวหลับตาแล้วอย่าส่งเสียงร้อง ก่อนจะกระโดดลงจากห้องใต้หลังคานั้นอย่างไม่เกรงกลัวความสูงมากกว่าตึกสิบชั้นนั้น เด็กชายลงมาถึงพื้นอย่างนุ่มนวล ถึงจะไม่พอใจในการฝึกและยาที่ถูกสั่งให้กินอยู่เสมอ แต่ครั้งนี้เขาก็ไม่ปฏิเสธว่าเขารู้สึกขอบคุณที่มันทำให้เขามีพลังมากพอจะช่วยเหลือน้องสาวของเขาได้

ปัญหาถัดมาคือสิ่งที่ถูกซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อคอเต่าของเด็กหญิงตัวน้อย เรย์จูดึงผ้าที่เริ่มหนักเพราะอุ้มทั้งนํ้าฝนและนํ้าตาลงเล็กน้อย เผยให้เห็นปลอกคอเหล็กขนาดใหญ่ที่ทั้งหนักและอึดอัดซึ่งถูกสวมอยู่ที่ลำคอของซันจิ มันมีเอาไว้สำหรับผูกกับสายจูงให้เจ้าชายทั้งหลายของวินสโม๊คดึงรั้ง ราวกับว่าเธอเป็นสัตว์เลี้ยงไม่มีผิด

ตอนนั้นซันจิมองหน้าเขานิ่ง ก่อนจะบอกว่าไม่เป็นไรเธอจะไปหยิบกุญแจมาไขมันออกแล้วค่อยหนี ทั้งสองจึงต้องวกกลับเข้าไปในห้องทำงานของจั๊ดอีกครั้งอย่างไม่ใคร่จะอยากทำนัก เรย์จูดูต้นทางเมื่อเห็นว่ามีเหล่าทหารและเมดเดินกันไปมา เขาจึงแสร้งทำตัวเป็นเจ้าชายผู้เอาแต่ใจเดินออกไปและล่อให้คนพวกนั้นเดินไป จนห่างพอจะให้ซันจิลอบเข้าไปในห้องทำงานของจั๊ดได้ ท่านพ่อไม่มีทางอยู่ในห้องแน่นอนเพราะเขาต้องกำลังสาระวนอยู่กับสนามรบแรก ที่เขาจะให้เหล่าลูกๆที่ภาคภูมิใจได้ประเดิม

เรย์จูคิดแบบนั้นแต่มันก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เมื่อจั๊ดย้อนกลับมาเอาของที่ลืมเอาไว้และได้พบกับซันจิที่กำลังเอื้อมสุดแขนหยิบกุญแจ ซึ่งแขวนอยู่บนผนังห้องของเขา ตอนนั้นเรย์จูทำได้แค่แอบมองสถานการณ์ณ์จากนอกประตูห้อง

จั๊ดเป็นนักวิทยาศาสตร์และนักธุรกิจที่ฉลาด มองแค่นั้นเขาก็สามารถเดาออกได้ในทันทีว่าลูกสาวของตนกำลังคิดจะทำอะไรอยู่ น่าแปลกที่เขาไม่ได้รั้งเธอเอาไว้และบอกว่าจะปล่อยเธอไปโดยไม่ห้าม แลกกับเรื่องเล็กๆเพียงเรื่องเดียว…

‘อย่าบอกใครว่าแกเป็นลูกของฉัน’

ตอนนั้นนํ้าตาหยดแรกไหลออกจากนัยน์เรียวของผู้เป็นพี่ชาย ไม่ต่างกับน้องสาวตัวน้อยที่ไขกุญแจปลอกคอออกแล้ววิ่งออกมาด้วยนํ้าตาแห่งความเจ็บปวด เรย์จูอุ้มเธอขึ้นมาในอ้อมแขนแล้ววิ่งสุดกำลังรวดเดียวไปจนถึงท่าเรือ

ส่งเธอขึ้นเรือสำราญที่กำลังหักหางเสือออกจากอ่าวของเจลมา กำชับกับเธอเป็นครั้งสุดท้ายว่าอย่ากลับมาที่นี่เป็นครั้งที่สอง ก่อนจะกลับไปรวมกลุ่มกับเหล่าพี่น้องคนที่เหลือเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้จะเจ็บปวดแต่ก็ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว…

หลังจากวันนั้นเรย์จูก็ได้มีโอกาสไปเยี่ยมหลุมศพของแม่เป็นครั้งแรก ไม่แปลกใจนักที่เจอพ่อบ้านตัวสูงโย่งยืนอยู่ตรงนั้นด้วย บรู๊คเป็นทั้งพ่อบ้านทั้งคุณปู่ใจดีที่รักใคร่เอ็นดูทั้งเธอและซันจิเสมอมา เขาก็คงจะสงสัยว่าเด็กหญิงตัวน้อยคนนั้นหายไปไหน แต่เมื่อเขาไม่เอ่ยถามอะไรเรย์จูก็ไม่อยากจะพูดอะไรเหมือนกัน เด็กชายเพียงปล่อยให้พ่อบ้านชราบรรเลงบทเพลงรีเควี่ยมไพเราะ และสงบจิตใจไปเรื่อยๆเท่านั้น

เรย์จูใช้ชีวิตตามที่ถูกขีดเส้น เป็นทั้งลูก ทั้งอาวุธและหนูทดลองที่ดีเสมอมา ไม่เคยขัดใจอะไรราชาของวินสโม๊คเลยสักครั้ง แต่ถ้าจะให้พูดอีกในหนึ่งก็คือขัดไม่ได้จะถูกกว่า พวกเขาที่เหลือทั้งสี่คนเข้าเรียนในโรงเรียนสำหรับเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงซึ่งตั้งอยู่บนมารีจัวว์ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือขึ้นไปบนเกาะที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของทหารเรือกลางทะเล และรักษาผลการเรียนระดับท็อปเอาไว้เสมอ เรย์จูเรียนจบแล้วและกำลังศึกษาเพื่อรับช่วงต่อจั๊ดในสักวันหนึ่ง ในฐานะของนักวิทยาศาสตร์ผู้เฉลียวฉลาด ส่วนพี่น้องคนที่เหลือนั้นยังเรียนอยู่และความจริงอายุก็เท่ากับซันจิ

ไม่ต้องเดาก็รู้ได้เลยว่าพอเปิดเทอมพี่น้องทั้งสี่คนก็ต้องได้เรียนอยู่ห้องเดียวกัน คงจะน่าตกใจน่าดูที่ทุกคนจะได้รู้ว่าวินสโม๊คไม่ได้มีแต่เจ้าชายเท่านั้น…

เวลาที่ผ่านไปและพวกเขาที่โตขึ้น จนย่างเข้าปีที่สิบกว่าเรย์จูก็เริ่มสบายใจ ว่าน้องสาวของตนจะได้มีความสุขดีในทะเลเล็กๆสงบสุข ก่อนที่ความคิดนั้นจะย้อนกลับมาทำร้ายเขาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เมื่อจั๊ดตกลงจับมือกับบิ๊กมัม

จั๊ดไม่ได้คิดอยากรวมเป็นตระกูลเดียวกับบิ๊กมัมจริงๆ เขามักจะเรียกเธอที่ใช้ชีวิตในใต้ดินอย่างเปิดเผยว่าผู้หญิงเสียสติเสมอ แต่เขาก็ต้องการกำลังของผู้หญิงคนนั้น โดยไม่ต้องการให้ลูกชายที่เขาภาคภูมิใจต้องไปอยู่ใต้อำนาจของบิ๊กมัม เขาจึงออกคำสั่งตามหาตัวซันจิ

ทั้งหมดก็เพื่อให้ซันจิเป็นบันไดให้เขาได้เหยียบยํ่าและไปให้ถึงจุดที่ตนเองต้องการ ทั้งที่เคยพูดเอาไว้เองแท้ๆว่าอย่าได้บอกใครว่าเป็นลูกสาว…

เรย์จูขัดคำสั่งไม่ได้มีแต่ต้องทำเท่านั้น และใช้เวลาไม่นานเลยในการตามหาตัวเธอ เพราะข่าวจากการวิวาทของกลุ่มหมวกฟางก็ดังกระฉ่อนไปทั่วโลก ลงหนังสือพิมพ์ทุกฉบับเป็นประจำอยู่แล้ว แม้ว่าภาพของซันจิจะไม่ค่อยลงในหนังสือพิมพ์มากนัก แต่หนังสือพิมพ์ฉบับหลังๆก็มีภาพเธอมากขึ้น ที่ทำให้เห็นแล้วก็ทำให้อดยิ้มไปเสียไม่ได้ ท่าทางน้องสาวของเขาจะมีความสุขดีอย่างที่เขาหวังแล้วจริงๆ

แต่สุดท้ายเขาก็พาเธอกลับมา…แวบแรกที่ได้เห็นใบหน้าของเธอ เด็กหญิงในวันนั้นได้กลายเป็นเด็กสาวผู้เพียบพร้อมงดงามขนาดนี้แล้ว ช่างเหมือนกับท่านแม่เสียจริงๆ ทั้งใบหน้านั้น ท่าทางแบบนั้น และความอ่อนโยนที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยนั้นก็ด้วย

ต่อให้ขอโทษไปทั้งชีวิตมันก็คงไม่พอที่พรากชีวิตที่มีความสุข ไปจากน้องสาวเพียงคนเดียวด้วยมือของตัวเองแบบนี้…

 

………………………………………

 

“เรย์ไม่ผิดหรอก” สรรพนามในวันวานถูกหยิบยกมาใช้อีกครั้ง “ฉันไม่สามารถละทิ้งพวกพ้องได้ ฉันถึงได้มาอยู่ตรงนี้…แต่ฉันก็ผิดที่ทำตัวเหมือนไม่ไว้ใจเจ้าพวกนั้น ไม่เชื่อใจว่าจะสามารถปกป้องฉันไว้ได้ ลูฟี่…กัปตันของฉันน่ะพูดเสมอว่าการตายหรือเอาตัวเองเข้าแลกมันไม่ได้ทำให้คนที่ถูกปกป้องดีใจ แต่ว่า…ฉันก็ไม่สามารถเดินกลับไปหาเจ้าพวกนั้นแล้วตั้งหน้าตั้งตาสู้ได้เหมือนทุกที”

ประตูห้องถูกเปิดออก ฝุ่นมากมายทะลักออกมาจนต้องบีบจมูกไว้ครู่หนึ่ง ห้องๆนี้ดูเล็กลงไปอีกเมื่อเด็กสาวโตขึ้นมากแล้ว เธอมองออกไปไกลแสนไกลบนท้องฟ้า ที่มองลอดจากลูกกรงซึ่งบิดเบี้ยวมาตั้งแต่ครั้งที่เรย์จูง้างมันเพื่อพาเธอหนี

“ฉันไม่อยากแต่งงานกับใครก็ไม่รู้ แถมแฟนฉันก็มีเป็นตัวเป็นตนแล้วด้วย” ซันจิพยายามพูดด้วยนํ้าเสียงที่เธอคิดว่ามันติดตลก “ไม่ต้องห่วงนะ…ฉันกลับมาเพื่อยื้อเวลาเท่านั้น เจ้าพวกนั้นจะต้องหาทางทำอะไรซักอย่างบ้างล่ะน่า”

กล่าวมาถึงตรงนี้นํ้าเสียงของเด็กสาวก็เปี่ยมไปด้วยความมั่นอกมั่นใน นัยน์ตากลมโตสีอความารีนเปล่งประกายออกมาด้วยความเชื่อใจในพวกพ้อง เรย์จูขยับยิ้มออกมาได้ในที่สุด

“ดูสิ น้องสาวของพี่โตขึ้นขนาดนี้แล้วนะ” พี่ชายหัวเราะจนเรือนผมตัดสั้นหยักศกเล็กน้อยของตนไหวไปมา

“เพราะเรย์นั่นแหละ ฉันถึงไปเจอพวกพ้องที่ยอมรับตัวฉันและมีความสุขได้ขนาดนี้” ซันจิยิ้มออกมา ใบหน้าอ่อนโยนแบบนั้นยิ่งทำให้เธอดูเหมือนโซระราวกับถอดแบบกันมา ต่างกันก็ตรงที่ซันจิผมยาวกว่าก็เท่านั้น “เรย์ก็เลิกโทษตัวเองได้แล้ว…นะ”

เรย์จูไม่ได้รับปากแต่ก็ยิ้มรับและหัวเราะน้อยๆอย่างที่ทำเป็นประจำเพียงเท่านั้น

 

……………………………………………………..

 

การใช้ชีวิตอยู่ในปราสาทก็ไม่ใช่แย่อย่างที่ซันจิคิดไว้แต่แรกถึงแม้จะถูกท้าสู้ตลอดเวลา แต่เธอก็ไม่แพ้อีกแล้ว การได้เห็นพวกพี่น้องที่ครั้งหนึ่งเคยเหยียบหัวเธอให้กดติดกับพื้นอิฐร้อนๆล้มลงกองกับพื้น และได้แผลชํ้าเล็กๆน้อยๆเพราะพยายามจะซัดเธอให้ได้สักหมัดสองหมัด ก็อดทำให้เด็กสาวสะใจไม่ได้ เธอไม่ได้ออกแรงด้วยซํ้าพวกพี่น้องหัวหลากสีของเธอก็ล้มลงไปกองกับพื้นแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าพวกนั้นเก่งขึ้นมากกว่าแต่ก่อน แต่ก็ยังใจร้อนและนิสัยเหมือนเด็กๆไม่เปลี่ยน

ทุกวันแม้ว่าจะไม่ได้เห็นหน้าจั๊ดกับเรย์จูเท่าไร แต่ตอนมื้อคํ่าพวกเขาก็จะโผล่มาร่วมโต๊ะอาหารด้วย จั๊ดพูดคุยกับทุกคนแต่ก็เลี่ยงจะคุยกับเธอถ้าไม่มีเรื่องจำเป็นอะไร แต่ถึงจะคุยกันเขาก็ไม่มองหน้าเด็กสาวแม้แต่น้อย ซึ่งซันจิก็ยินดีที่มันจะเป็นเช่นนั้น ส่วนเรย์จูเธอค่อนข้างเสียใจที่ได้มีเวลาคุยกับพี่ชายน้อยไปหน่อย ท่าทางเขาจะทำงานหนักมากเพื่อจะได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลในสักวัน ตามการคาดหวังของจั๊ดที่สูงลิบลิ่ว

มารยาทบนโต๊ะอาหารของทุกคนดูจะเป็นสิ่งเดียวที่สมกับเป็นเชื้อพระวงศ์ ถึงจะชอบกินทิ้งกินขว้างกันก็เถอะ ซันจิจำได้ว่าครั้งหนึ่งเขาเอ่ยเตือนนิจิไปว่าให้กินให้หมด ผลที่ได้คือเจ้าตัวเทอาหารลงกับพื้นและเรียกเเม่ครัวมาต่อว่า หลังจากที่ทุกคนออกจากห้องอาหารเธอจึงเรียกแม่ครัวมาอีกครั้ง เธอชื่อโคเช็ตเป็นหญิงสาวถักเปียยาวไว้เบื้องหลัง สีหน้าเธอดูหวาดกลัวมากเมื่อถูกเรียกติดๆกันถึงสองครั้ง

เด็กสาวไม่ได้ทำอะไรน่ากลัว แต่กลับก้มลงทานอาหารบนพื้นนั้นจนอีกฝ่ายลนลานห้าม แล้วเจ้าหญิงผมทองก็ชมออกมาว่าเธอทำอาหารได้วิเศษมาก ทำเอาคนได้รับคำชมถึงกับนํ้าตารื้น

ซันจิปลอบเธออยู่ครู่ใหญ่กว่าจะคุยกันรู้เรื่องอีกครั้ง โคเซ็ตเล่าว่าเธอมาเป็นแม่ครัวให้เหล่าเจลมาได้หลายปีแล้ว ไม่เคยมีสักครั้งที่จะมีคนชมอาหารที่เธอทำขนาดนี้ จนเธอเกือบลืมไปแล้วว่าเคยมีความสุขแค่ไหนยามได้เห็นสีหน้ายิ้มแย้มมีความสุขของคนทาน ซันจิยิ้มพลางเล่าว่าตัวเธอเองก็ทำอาหารเหมือนกันเลยเข้าใจความรู้สึกของหญิงสาวดี

ทั้งสองกลายเป็นเหมือนเพื่อนกัน แต่โคเซ็ตก็มักเจียมเนื้อเจียมตัวและเรียกเด็กสาวอายุน้อยกว่าอย่างสุภาพเสมอ ซันจิมักจะแอบเข้าไปทำอาหารกับโคเซ็ตอยู่บ่อยๆ แต่เข้าไปทีไรก็ถูกห้ามเสียทุกทีจนหน่ายใจ

อย่างน้อยเธอก็มีคนคอเดียวกัน คุยกันรู้เรื่องบ้างนะ!

ซันจิคิดอย่างให้กำลังใจตัวเอง เวลาที่เบื่อมากเกินไปก็จะเข้าไปเดินเข้าไปในเกาะโฮลเค้ก ตึกของที่นั่นน่าอร่อยอยู่เสมอทุกครั้งที่มอง พื้นที่ส่วนใหญ่ของเกาะโฮลเค้กเป็นตลาดค้าขายวัตถุดิบทำขนมหวาน แต่ก่อนก็เหมือนจะเคยได้ยินมาเหมือนกันว่า ถ้าอยากทำขนมหวานต้องมาซื้อวัตถุดิบที่เกาะโฮลเค้กจะดีที่สุด แต่เพราะค่าจอดเรือเทียบท่าที่เกาะมันแพงหูฉี่อย่างกับจะปล้นกันเสียมากกว่า ทำให้มีคนไม่มากนักที่ดั่งด้นมาที่นี่

งั้นนี่ก็เป็นอีกหนึ่งโอกาสทองของกุ๊กเชียว ที่จะได้จับจ่ายซื้อของในเกาะอย่างเสรีแบบนี้ ซันจิคิดพลางจุดบุหรี่ขึ้นสูบ บรู๊คหัวเราะด้วยเสียงประจำตัวก่อนจะช่วยเด็กสาวที่ร่าเริงขึ้นมาจากการจ่ายตลาด ถือของที่มากขึ้นเรื่อยๆตามระยะทาง คิดถูกไม่น้อยที่นั่งรถแมวมาก

ถึงจะรู้สึกเบื่อที่ต้องมีคนคอยตามไปไหนมาไหนตลอดเวลา แต่ถ้าเป็นบรู๊คซันจิก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องแย่อะไร เขาเป็นคนที่ดูแลเธอมาตลอดตอนยังเล็กรู้สึกอบอุ่นด้วยซํ้าที่ได้อยู่ด้วยกัน

ซันจิต้องรีบเก็บเกี่ยวช่วงเวลาที่ยังเป็นอิสระนี้ก่อนที่จะถึงเวลาเปิดเทอม ซึ่งมันก็อีกประมาณสองสามอาทิตย์เท่านั้น เพราะโรงเรียนบนมารีจัวว์เป็นโรงเรียนประจำ มีแค่ช่วงปิดเทอมเท่านั้นที่จะได้กลับบ้าน ก็ไม่ได้อยากกลับเท่าไรแต่อย่างน้อยปราสาทเจลมาก็มีห้องครัว

“วันนี้ทำอะไรดีโคเซ็ตจัง” ซันจิเปิดประตูห้องครัวเข้าไปพร้อมกับวัตถุดิบมากมายในมือ

ช่วงพักหลังๆการเข้ามาทำอาหารในครัวกลายเป็นเรื่องสนุกอันน้อยนิดที่ซันจิทำบ่อยๆ

“ท่านซันจิของเยอะจัง ฉันช่วยนะคะ” หญิงสาวกุลีกุจรวิ่งเข้ามาช่วยเธอถือของ สองสาวเริ่มทำขนมหวานกันไปเรื่อยๆ เสียงหัวเราะสดใสดังมาให้ได้ยินหลังจากขนมสีสวยออกมาตั้งเรียงกันอยู่เต็มโต๊ะแล้ว “ท่านซันจิทำอาหารอร่อยจริงๆนะคะ ฉันไม่เคยเห็นเจ้าหญิงทำอาหารมาก่อนเลย ท่านเป็นเชื้อพระวงศ์ที่ต่างกับท่านอื่นๆมากเลยค่ะ…ต่างในทางที่ดีนะคะ!!”

โคเซ็ตชิมพุดดิ้งสีสายรุ้งพลางเอ่ยชื่นชมจากใจ อดไม่ได้ที่จะแอบคิดว่าตัวเองเผลอพูดอะไรไม่เหมาะสมออกไปรึเปล่า แต่เจ้าหญิงที่ถูกเอ่ยถึงผู้นั้นกลับทำเพียงหัาเราะเสียงใสแล้วเก็บจานซึ่งล้างเรียบร้อยขึ้นบนชั้น เครื่องแก้วเซรามิกเนื้อดีราคาแพงหูฉี่ลวดลายสวยงาม ทำให้เด็กสาวรู้สึกชอบใจทุกครั้งที่ได้ใช้งาน

ซันจิตอบรับคำชมด้วยสีหน้าผ่อนคลายก่อนจะตรงเข้าไปเปิดตู้เย็นขนาดใหญ่ที่มุมหนึ่งของครัว สอดส่องอยู่ครู่ใหญ่ก่อนทำหน้าฉงนกลับมาโดยไม่มีอะไรติดมือมาด้วย

“หาอะไรหรอคะ?” โคเซ็ตที่เริ่มตักมูสช็อกโกแลตถ้วยแรกหันมาถามอย่างสงสัย

“จำได้ไหมว่าเมื่อวันก่อนพวกเราทำซุปเปอร์ช็อกโกแลตกัน” เด็กสาวเกริ่นนำถึงช็อกโกแลตร้อนที่พิมพ์เป็นแท่งเก็บเอาไว้ จำนวนเกือบๆสามสิบแท่งได้ซึ่งมันหายไป “ฉันหาไม่เจอเลย ก็ทำเอาไว้เยอะเลยน้า…”

โคเซ็ตเกือบทำขนมหวานสุดอร่อยตรงหน้าติดคอ สีหน้ากระวนกระวายเห็นได้ชัดทำให้เด็กสาวจับสังเกตได้ไม่ยาก

“รู้อะไรหรอ?” คนถามไม่เค้นอะไรนอกเสียจากถามสบายๆ

“เปล่านะคะ ไม่รู้อะไรเลย…ไม่เห็นจริงๆนะคะ ว่าท่านนิจิเข้ามาหยิบออกไปทั้งสามครั้งหลังอาหารเลย!?” แล้วเจ้าตัวก็หลุดปากออกมาเองแทบจะทันที

“นิจิ? นิจิเนี่ยนะ…” ซันจิทำตาโต

เธอรู้ว่าพี่ชายผมนํ้าเงินคนนั้นชอบกินของหวานมากโดยเฉพาะช็อกโกแลต เพราะเขาก็กินมันมาตลอดตั้งแต่สมัยเด็กๆจนน่ากลัวว่าจะเป็นเบาหวานเข้าเสียสักวันหนึ่ง แต่เธอไม่คิดว่าเขาจะกินขนมที่เธอเป็นคนทำหรอกนะ…และเขาไม่มีทางเลยที่จะไม่รู้ ในเมื่อกระดาษห่อช็อกโกแลตนั่นเป็นกระดาษที่ซันจิทำขึ้นเป็นพิเศษ เขียนชื่อของเธอไว้แทนโลโก้ตัวเบ้อเร่อ

“เขาบอกว่าไง…” ซันจิเอ่ยถามทั้งที่นัยน์ตาเหม่อลอยจนเหมือนหลุดถามออกมามากกว่า

“เห็นว่าทะเลาะกับท่านยนจิแย่งกันทานเลยล่ะค่ะ” โคเซ็ตยิ้มตอบ

เธอมาทำงานที่เจลมานานแล้วก็จริง แต่ก็เป็นหลังจากที่ซันจิหนีออกไปแล้ว คนที่นี่ไม่ได้พูดถึงเรื่องราวของเจ้าหญิงแห่งเจลมามากนัก แม้จะอยากรู้แต่ก็ดูเป็นเรื่องต้องห้ามที่จะถาม ภาพหรือรูปถ่ายสักใบก็ยังไม่มีให้เห็น แต่บางครั้งเธอก็มักจะแอบเห็บเรย์จูกับบรู๊คคุยกันเรื่องเจ้าหญิงบ่อยๆ ครั้งแรกที่ได้เห็นหน้าโคเซ็ตก็คิดขึ้นมาทันทีว่าช่างเหมือนกับรูปวาดของราชินีโซระผู้ล่วงลับ ที่สำคัญซันจิก็ช่างอ่อนโยนและใจดี แตกต่างกับเหล่าเจ้าชายวินสโม็คคนที่เหลือลิบลับ

เพราะแบบนั้นละมั้งพี่น้องทุกคนจึงดูไม่ลงรอยกับเธอนัก พวกเขาสู้กันเสมอแม้กระทั่งตอนเดินสวนกันที่บันได จะมียกเว้นก็แต่เวลาทานอาหารซึ่งจะพร้อมหน้าพร้อมตาก็ตอนมื้อเย็นเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นจากสายตาของคนนอกที่มองเข้าไป มันก็เหมือนจะมีจุดเล็กๆที่เป็นสายสัมพันธ์ของคนทั้งหมดเอาไว้ด้วยกัน เพียงแต่ยังไม่มีใครเลยที่รู้ตัว ถ้าเป็นไปได้เธอก็อยากจะประสานรอยร้าวในใจของเด็กสาวผู้อ่อนโยนเบื้องหน้า…แม้จะแค่เล็กน้อยก็ยังดี

ซันจิไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่าทำสีหน้าเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่ในใจ แล้วอมยิ้มออกมาน้อยๆที่มุมปากแค่แวบเดียวจนเกือบมองตามไม่ทัน

“งั้นหรอ…” เด็กสาวพึมพำลอยๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องครัวไปโดยไม่ลืมกล่าวลาเพื่อนสาวที่เก็บขนมส่วนที่เหลือเข้าตู้เย็น และเริ่มต้นเตรียมวัตถุดิบสำหรับอาหารคํ่า

 

………………………………………………………..

 

เช้าวันใหม่ซันจิตื่นขึ้นมาด้วยความไม่สดชื่นเท่าไรนัก ทั้งที่เป็นเวลาเกือบเดือนแล้วที่ต้องนอนในห้องหรูหราและเตียงนุ่มนี้เด็กสาวก็ไม่เคยชินเสียที ในใจยังคงคิดถึงห้องไม่เล็กไม่ใหญ่ในภัตตราคารของเมืองเงียบสงบในแกรนไลน์อยู่เสมอ

ลำคอขาวแห้งผากอาจเพราะเมื่อคืนดื่นนํ้าน้อยไปหน่อย ก่อนจะอาบนํ้าเด็กสาวจึงตัดสินใจเดินเข้าไปในครัว ระหว่างทางก็สวนกับอิชิจิที่ยังสวมชุดนอนพร้อมกับหัวฟูยุ่ง แถมยังไม่สวมแว่นดำอย่างทุกที เขาซ่อนบางอย่างไว้ด้านหลังแล้วเดินเร็วๆผ่านเธอไปโดยไม่หาเรื่องอย่างทุกที เด็กสาวแปลกใจไม่น้อยแต่ก็คิดว่าเขาคงยังตื่นไม่เต็มตา และเดินลงต่อมาได้อีกไม่กี่ชั้นก็สวนกับยนจิ สภาพก็ไม่ต่างกับอิชิจินัก แต่น้องชายผู้ตัวสูงที่สุดในบรรดาพี่น้องทุกคนท่าทางมีพิรุธมากกว่า ทันทีที่เขามองเห็นหน้าเธอใบหน้าที่เหมือนกับเธอมากนั้นก็แดงแจ๋ ก่อนลนลานหันหลังติดกำแพงเดินเฉียงๆขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว

เธอมองตามน้องชายเจ้าของเรือนผมสีเขียวตัดสั้น เผยให้เห็นใบหน้าที่มีคิ้วม้วนไปด้านเดียวกันนั้นงงๆ ไม่เข้าใจในท่าทางแปลกประหลาดนั้นจนกระทั่งเดินเข้าไปถึงห้องครัว

ประตูห้องครัวเปิดแง้มอยู่ให้เด็กสาวขมวดคิ้วมุ่น โคเซ็ตไม่ใช่คนสะเพร่าไม่น่าลืมปิดประตูครัวได้เลย ดวงตากลมสีอความารีนมองลอดผ่านบานประตูที่ปิดไม่สนิทนั้น ภาพแรกที่เห็นคือบานประตูตู้เย็นที่เปิดค้างอยู่พร้อมเสียงค้นของ

 

ถ้าจำไม่ผิดตู้นั้น มันตู้ที่เก็บขนมเมื่อวาน…

 

คิดไม่ทันเสร็จดีประตูตู้ก็ปิดลงพร้อมกับหัวสีนํ้าเงินเข้มที่เด่นมาแต่ไกล ในมือแข็งแรงทั้งสองข้างเต็มไปด้วยถ้วยพุดดิ้งและช็อกโกแลตมูส ในปากก็คาบไวท์ช็อกโกแลตที่แกะห่อไปเพียงครึ่ง แน่นอนว่ามันคือขนมที่ซันจิทำ

นิจิฮัมเพลงที่ชอบฟังเดินอาดๆเข้ามาเอาขาเขี่ยประตูให้เปิดออก และได้เห็นเจ้าของเรือนผมสีทองอยู่เบื้องหลัง…

 

 

 

 

ถ้าชอบก็กดไลค์เขียนคอมเมนท์กันได้นะคะ ><

อย่าทำรวมเล่มจังเลย ทุกคนว่ายังไงคะ?

ใส่ความเห็น