One Piece

One piece The High school Episodes : Uproariously languor IV

บทที่ 3 : เตรียมตัวก่อนเดินทาง

 

“โซโลพรุ่งนี้ก็จะออกเดินทางแล้ว วันนี้นายต้องมาช่วยฉันซื้อของในเมือง เข้าใจไหม! เจอกันที่จัตุรัสกลางเมืองต้องหกโมงเช้านะ อย่างหลงทางล่ะแล้วก็ห้ามมาสายเด็ดขาด!!”

นั่งเป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อนักเดนโด้คนเก่งจำต้องมายืนหาวหวอดกลางจัตุรัสกลางเมืองตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง วันนี้อากาศเริ่มหนาวมากขึ้นเป็นสัญญาณว่าหิมะใกล้จะตกแล้ว โซโลสวมเสื้อกันหนาวตัวหนาสีเข้มทับเสื้อยืดเรียบๆเข้ากับกางเกงยีนส์ขายาว แน่นอนว่าที่ข้างเอวเขายังคงเหน็บดาบไม้สามเล่มเอาไว้ เรียกได้ว่าเรียบง่ายแต่ดูดีจนสาวๆที่เดินผ่านหันมองตามตาเป็นมัน เขาอยู่ในชุดที่เรียกได้ว่าดูดี ดูดีเกินกว่าที่คนไม่สนใจแฟชั่นอย่างเขาจะเป็นคนเลือกเอง ซึ่งนั่นก็ถูกนะเพราะเขาไม่ได้เลือกเองจริงๆ

เขาไม่มีทางมาถึงจัตุรัสกลางเมืองก่อนนามิที่โทรมานัดอยู่แล้วโดยไม่หลงทาง เพราะงั้นเพื่อไม่ให้เพื่อนสาวต้องพิโรธโกรธกริ้ว(เป็นที่รู้กันว่ามันจบไม่สวย) เขาจึงจำต้องขอความช่วยเหลือจากน้องสาวตัวดี เจ้าตัวก็อิดออดไม่อยากตื่นเช้า ตื้ออยู่นานสุดท้ายก็ได้ข้อแม้มาว่าต้องให้เธอเลือกชุดให้ แล้วก็ต้องซื้อตุ๊กตาคุมาชี่ ตุ๊กตาหมีสไตล์โกธิคที่เจ้าตัวบอกว่ากำลังดังมากตัวโตๆมาฝาก ก็เลยยอมมาส่งในที่สุด

ส่งเสร็จก็ขอตัวกลับบ้านไปนอนต่อเลย ทิ้งให้เขายืนตากนํ้าค้างรอคนนัดมาเกือบๆครึ่งชั่วโมงเพียงลำพัง…

โซโลยักไหล่ให้กับตัวเอง ถึงจะพูดว่าเป็นพี่น้องกันแต่ก็ไม่ใช่พี่น้องแท้ๆหรอกนะ ตัวเขากับเพโรน่าเป็นเด็กกำพร้าที่ตาเหยี่ยว…ดรากูล มิฮอว์กคนนั้นรับเลี้ยงเท่านั้น ถือว่าเป็นบุตรบุญธรรมตามกฎหมาย ไม่ใช่ครอบครัวแท้ๆ แต่โซโลก็คิดว่ามันคงให้ความรู้สึกไม่ต่างกัน จากสายตาของคนนอกอาจจะเห็นว่ามิฮอว์กเป็นคนเย็นชา ก็เป็นเพราะภาพลักษณ์ของเจ้าตัวที่ไม่ค่อยพูด แต่พอพูดก็ตรงไปตรงมา จนบางครั้งมันก็เหมือนคมดาบที่เฉือดเฉือนคนฟัง พอรวมกับดวงตาคมกริบสีแปลกตามสไตล์คนต่างเมืองเหมือนเหยี่ยวสมฉายานั้น

ความจริงแล้วมิฮอว์กก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่รักครอบครัว กลับมากินข้างเย็นที่บ้านแทบทุกวันทั้งที่งานก็ยุ่ง ที่ทำงานก็อยู่ต่างเมือง มีคนรัก ชอบทำเรื่องเหนือความคาดหมายทั้งใบหน้านิ่งๆนั้น อาทิเช่น เซอร์ไพรส์วันเกิดเพโรน่าด้วยการเปลี่ยนห้องโถงของบ้านเป็นสวนตุ๊กตาคุมาชี่ ที่ทำเอาโซโลไม่ยอมเดินเข้าไปในนั้นเกือบอาทิตย์ หรือลงทุนฝึกทำอาหารตอนที่เด็กสาวบ่นว่าอยากได้ข้าวกล่องไปโรงเรียนบ้าง

ถึงจะไม่ใช่ครอบครัวกันทางสายเลือด และถึงแม้โซโลจะมีท่าทีเย็นชาราวกับไม่สนใจในตัวมิฮอว์ก แต่ลึกๆในใจโซโลก็รู้ดีว่าเขารักและเทิดทูนอีกคนมาก สามารถเอ่ยเรียกอีกคนว่า ‘พ่อ’ ได้อย่างเต็มปาก ถึงจะไม่ค่อยเรียกเท่าไรก็เถอะ

กับเพโรน่าเองก็ไม่ต่างกันถึงเธอจะเอาแต่ใจตัวเอง ชอบตะโกนเสียงแหลมๆ งอแงอยากได้ตุ๊กตาแบบเด็กๆ แต่สำหรับเขาเธอก็คือน้องสาวคนหนึ่ง เป็นน้องสาวที่น่ารักเสมอมาและโซโลกล้ารับประกันเลยว่า เธอรักมิฮอว์กมากกว่าตัวเขาเองเสียอีก

ระหว่างที่คิดนู่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อย รู้สึกตัวอีกทีท้องฟ้าก็สว่างไสวมากแล้วและนามิก็มาถึงแล้วเช่นกัน ในที่สุดปฏิบัติการถือถุงช็อปปิ้งให้เพื่อนสาวก็เริ่มต้นขึ้น…

 

 

นามิเดินเข้าร้านนู้น ออกร้านนี้ซื้อข้าวของมากมายตั้งแต่ครีมกันแดดไปยันชุดว่ายนํ้า และทุกครั้งที่เดินเข้าร้านไหนเธอก็จะยืนต่อราคาข้าวของ ต่อรองกึ่งบังคับให้คนขายจำเป็นต้องลดราคาให้อย่างน่าสงสาร การช็อปปิ้งของแม่คนนี้มันหายนะชัดๆจริงๆ โซโลได้แต่แอบส่งสายตาสงสารให้กับเจ้าของร้านที่นามิได้ไปเยือน และยื่นมือไปรับถุงกระดาษจากเพื่อนสาวคนสวยแต่โดยดี

“จะว่าไปแล้ววันนี้แต่งตัวดูดีจังนะโซโล นายแต่งแบบนี้เป็นด้วยหรอ?”

นามิถามขึ้นมาหลังจากเวลาล่วงเลยไปจนถึงเที่ยงวัน และทั้งสองคนตัดสินใจที่จะนั่งพักหาอะไรมากินรองท้อง จนเธอได้มีโอกาสสังเกตเพื่อนหนุ่มอย่างจริงจัง

“อ๋อ พอจะเข้าใจละ” พอเธอเหลือบไปเห็นตุ๊กตาคุมาชี่ตัวใหญ่ที่อีกฝ่ายเดินไปซื้อมาตอนเธอเลือกยาทาเล็บอยู่ เด็กสาวผู้ชาญฉลาดก็เดาเรื่องราวได้กลายๆ

“ก็งั้นแหละ ว่าเเต่เธอเถอะ…จะซื้ออีกเยอะแค่ไหนเนี่ย จะแบกกลับบ้านคนเดียวไหวหรอ? บอกก่อนเลยนะว่าวันนี้ตาเหยี่ยวไม่กลับบ้าน ฉันไปส่งเธอไม่ได้นะ” โซโลเหลือบมองสารพัดถุงที่เขาวางลงกับพื้น มันเยอะจริงๆขนาดเขาเป็นผู้ชายยังถือแล้วมองทางแทบไม่เห็นด้วยซํ้า

“เดี๋ยวว่าจะแวะไปฝากซันจิจังไว้ก่อนส่วนนึง แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาเอาน่ะ” นามิสะบัดผมยาวๆไปด้านหลัง ไม่ปฏิเสธอีกเหมือนกันว่าเพื่อนสาวของเราเป็นคนสวยมากอีกคนหนึ่ง ขนาดที่ใครๆมองมาก็ชวนก็เคลิ้มไปได้เหมือนกัน แต่อย่าได้เผลอหลงเสน่ห์เธอคนนี้เข้าไปเชียว จบไม่สวยสักรายในหลายๆความหมาย

ทั้งสองคนกินข้าวปั้นที่ซื้อจากร้านสะดวกซื้อ นั่งพักชาร์ตพลังกันอีกครู่ใหญ่ ก่อนเก็บข้าวเก็บของเตรียมเดินช็อปแหลกกันต่ออีกรอบ

“เฮ้ย! เธอเข้าร้านขายชุดว่ายนํ้ามากี่ร้านแล้ว ยังเลือกไม่ได้อีกหรอ?” ในที่สุดพ่อหนุ่มผมเขียวก็อดบ่นออกมาไม่ได้ เมื่อนามิเที่ยวเดินเข้าเดินออกร้านขายเสื้อมาสี่ห้าร้านแล้ว แต่ก็ไม่ตัดสินใจซื้อสักที

นามิที่เดินนำหน้าอยู่นั้นกระดิกนิ้วเรียววนเป็นวงกลม เอ่ยอธิบายด้วยรอยยิ้ม

“นายนี่เสียมารยาทจริงๆ ชุดว่ายนํ้าผู้ชายกับผู้หญิงมันไม่เหมือนกันนะ ต้องเลือกให้ดีๆ…”

กระทั่งดวงตากลมโตของเธอเหลือบไปเห็นเพื่อนอีกคนในร้ายขายชุดว่ายนํ้า และภาพที่เธอเห็นนั้นก็ทำให้เด็กสาวชะงักกึก เบิงตากว้างพูดไม่จบประโยคไปเสียดื้อๆ จนโซโลที่เดินตามมาชนเข้าเบาๆ

“หยุดทำไม?”

โซโลเอ่ยถามอย่างสงสัย เขาเอียงตัวออกมามองใบหน้าอึ้งๆของเพื่อนสาวจากเบื้องหลังถุงช็อปปิ้งมากมาย และทำท่าจะหันไปมองตายปรายสายตาของนามิเมื่อเธอไม่ยอมตอบอะไร

นามิใช้เวลาเพียงไม่นานก็เรียกสติตัวเองกลับมาได้ และเธอเชื่อว่าโซโลไม่ควรเห็นสิ่งที่เธอเห็น แต่ครั้นเมื่อเธอจะหันไปเบี่ยงความสนใจกับโซโล นามิก็ได้รู้ว่ามันไม่ทันอีกแล้ว…

 

……………………………………….

 

คนเราต่างมีเส้นทางเป็นของตัวเองที่จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้า

เพียงแต่ว่าบางครั้ง มันก็อาจจะมาบรรจบกันโดยที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน

โชคชะตาที่กำหนดเรื่องเเบบนั้น ก็มักจะเล่นตลกเสมอนั่นแหละ…

 

[อยากซื้อชุดว่ายนํ้าให้แฟน มาช่วยเลือกหน่อยสิ]

 

ข้อความสั้นๆนั้นเป็นสาเหตุที่เด็กสาววัย 17 ปี เจ้าของเรือนผมยาวสีทองสลวยต้องขุดตัวเองขึ้นมาจากเตียง และยัดตัวเองเข้าไปในเสื้อโค้ทตัวยาวสีดำแบบที่เธอชอบ ออกมายืนรอผู้ชายที่สู้อุตส่าห์แชทมาเรียกเธอทั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ที่จัตุรัสกลางเมืองแบบนี้

อากาศหนาวๆไม่ได้ทำให้คนง่วงนอนรู้สึกว่าอยากให้ลมเย็นพัดผ่านกายเสียเท่าไร แต่เธอไม่สามารถห้ามสภาพดินฟ้าอากาศได้อยู่แล้ว ดังนั้นเธอจึงทำได้แค่ปล่อยให้มันพัดผ่านต่อไป และซุกมือเรียวลงกับกระเป๋าเสื้อโค้ทตัวนุ่ม

หากว่าซันจิเดินเลยจากตึกฝั่งที่ตัวเองยืนอยู่นั้นไปทางซ้ายอีกสามก้าว เธอก็จะได้เจอกับพ่อหนุ่มผมเขียวที่ออกมายืนรอนามิ ทว่าเมื่อคนที่นัดทั้งสองคนออกมาให้ยืนรอในวันที่อากาศหนาวแบบนี้นั้น ต่างคนต่างมีเส้นทางเป็นของตัวเองยิ่งนัก พอนามิมาถึงก็พาโซโลไล่เดินไปยังฝั่งซ้ายของจัตุรัส ในขณะที่พ่อเพื่อนหนุ่มของซันจิโผล่มาแล้วพาเดินสาวไปฝั่งขวา…

“มาสายนะคะ คุณ ‘ยูสทัส ซี. คิด’”

เสียงหวานใสเอ่ยขึ้นติดจะล้อเลียนมากกว่าโกรธขึง พลางยกแขนสองข้างขึ้นเท้าเอวมองเพื่อนหนุ่มตัวโตในชุดง่ายๆเซอร์ๆ ซึ่งกำลังก้มลงเท้าแขนลงกับเข่าหอบหายใจแบบเอาเป็นเอาตาย ดูจากเหงื่อที่ไหลท่วมตัวทั้งที่อากาศหนาวขนาดนี้ กับเรือนผมสีแดงฟูยุ่งไม่ได้สวมผ้าคาดสีเข้มแบบที่เจ้าตัวชอบเอาไว้เหมือนทุกที ก็พอจะเดาได้ล่ะนะ…

“ตกรถไฟหรอคะ?” ซันจิเอ่ยถามคนที่หอบจนพอใจ แล้วกลับไปยืนตัวตรงเต็มส่วนสูงเกือบสองร้อยเมตร ก้มสบตากับเธอ

ใบหน้าเกลี้ยงเกลายังคงความดิบเถื่อนสไตล์เด็กช่างไว้ไม่เปลี่ยน ดวงตาคมสีเหลืองทองนั้นทำให้คนมองรู้สึกเหมือนถูกเสือตัวใหญ่ๆจ้อง ทว่าในยามนี้มันกลับแฝงไปด้วยความรู้สึกผิดอย่างไม่ปิดบัง

“ขอโทษๆ ตกรถไฟจริงๆนั่นแหละเลยวิ่งมา กลัวเธอรอ” เด็กหนุ่มวัย 19 ปี ก้มหัวขอโทษขอโพยอย่างรู้สึกผิด ที่เขาเป็นคนนัดออกมาแท้ๆแต่กลับปล่อยให้เด็กสาวเป็นฝ่ายมายืนรอแบบนี้

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันเพิ่งมาไม่นานเองคราวหน้าก็ไม่ต้องรีบหรอกนะคิด วิ่งข้ามเมืองแบบนี้เหนื่อยตายเลย” ซันจิโบกมือเป็นเชิงว่าช่างเถอะ

ยูสทัส ซี. คิด คนนี้เป็นหัวหน้าแก๊งของพวกเด็กช่างที่โซโลไปหาเรื่องเอาวันก่อน เขาเป็นผู้ชายที่โผงผางใจร้อน นิสัยคล้ายเด็กสมกับชื่อเจ้าตัวในบางส่วน แต่ก็รักพวกพ้องแล้วก็เป็นพวกที่จะไม่ยอมให้ใครว่าหัวเราะเยาะหรือดูถูกตัวเองได้เด็ดขาด เขาถึงกลายเป็นเหมือนพวกอันธพาลที่มีเรื่องชกต่อยกับชาวบ้านไปทั่ว คนทั่วไปแต่ได้ยินชื่อก็กลัวตัวสั่นกันไปหมดแล้ว

แต่ถ้าได้ทำความรู้จักกันจริงๆก็จะได้รู้ว่า เขาก็แค่เด็กหนุ่มผู้ตรงไปตรงมาคนหนึ่งที่พร้อมจะพุ่งเข้าชนปัญหา เพื่อก้าวไปให้ถึงความฝันมันก็แค่นั้น บางส่วนของคิดคล้ายกับลูฟี่อยู่เหมือนกันนั่นเป็นสิ่งที่กุ๊กสาวคิด

สองสามปีก่อนคิดเองก็ดังอยู่ในเมืองนี้ แต่พอเขามีแฟนเจ้าตัวก็เก็บข้าวเก็บของย้ายหอไปอยู่เมืองข้างๆ ที่จะสามารถไปรับไปส่งแฟนที่เรียนอยู่มหาลัยในเมืองนั้นได้สะดวก และแม้ว่าตอนนี้แฟนคนนั้นจะทำงานแล้วคิดก็ยังไปรับไปส่งเหมือนเดิมอยู่ดี แม้ว่าตัวเองจะต้องลำบากนั่งรถไฟมาเรียนที่เมืองนี้ทุกวันก็ตาม และบางครั้งที่คิดจะสายหรือตกรถไฟแล้วลืมเต็มนํ้ามันให้เจ้าบิ๊กไบท์คันเก่ง เขาก็เลือกที่จะวิ่งมาแทนที่จะรอรถไฟอย่างเช่นวันนี้

 

ช่างเป็นคนที่มีพลังชีวิตสูงจริงๆ…

 

ส่วนเรื่องที่ว่าซันจิกับคิดไปรู้จักกันได้ยังไงนั้นถ้าจะเล่าจริงๆก็ออกจะยาวไปเสียหน่อย แต่เอาเป็นว่าเธอเป็นที่ปรึกษาปัญหาชีวิตรักให้อีกฝ่ายก็แล้วกัน

“อย่าโกหกน่ามือเย็นจนซีดไปหมดแล้ว มารอแต่เช้าแล้วสิท่า” คนผมแดงเดินดุ่มๆเข้ามาดีดหน้าผากมนดักเพี๊ยะ แล้วมือหยาบใหญ่ทาเล็บสีดำสนิทแบบพวกร็อคบอยของเขาก็ดึงมือเรียวเข้ามากุมไว้ครู่หนึ่ง ส่งมอบความอบอุ่นจนร้อนของอีกฝ่ายมาให้ ก่อนจะซุกมือของเธอลงไปในกระเป๋าเสื้อนอกของเขา “บอกแล้วไงอย่าโกหกฉัน ไม่เนียนเฟ้ย!”

“อะไรกัน ฉันว่าฉันไปอัพสกิลมาแล้วเชียวนะ” ซันจิพูดไปแบบติดตลก “ไม่ได้เจอกันนานก็ยังดูสบายดีอยู่นี่หน่า วันก่อนนู้นเพื่อนฉันไปหาเรื่องพวกฮีทแน่ะ ขอโทษด้วยนะ”

“เจ้านั้นโทรมาบอกแล้วมันดูดีใจซะอีกที่ได้เจอเธอ แต่เพราะเจ้าโรโรโนอาอยู่ด้วยเลยทักตรงๆไม่ได้สินะ แล้วเรื่องเลี้ยงอ่ะจริงเปล่า?” คนผมแดงยิ้มยียวน

“ถ้านายกับเพื่อนๆน่ะโอเคนะ แต่ถ้านายโผล่มากับแฟนสองคนอย่าหวังเลย”

“โหย’ไรว้าาา”

ทั้งสองคนสนทนากันตามประสาเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานอย่างสนิทสนม เหล่าผู้คนที่เดินผ่านไปมารวมถึงเหล่าชายหนุ่มทั้งหนุ่มเล็กหนุ่มใหญ่ ต่างอดหยุดมองไปเสียมิได้ ช่างน่าเสียดายเหลือเกินที่จู่ๆสาวสวยก็มีแฟนโผล่มา แถมแฟนยังดูโฉดสนิทเลยด้วย…

“เออ แล้วอารมณ์ไหนเนี่ยอยากซื้อชุดว่ายนํ้าให้แฟน อย่างคุณหมอ ‘ทราฟลาก้า’ คนนั้นเขาไม่ใช่คนชอบเที่ยวสักหน่อย”

เมื่อคิดรู้สึกว่ามือเพื่อนสาวอุ่นจนเจ้าตัวพอใจแล้ว ทั้งสองคนจึงได้เริ่มออกเดินหาซื้อของอย่างที่คนนัดต้องการ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็อดที่จะถามไปเสียไม่ได้

ทราฟลาก้า หรือทราฟลาก้า ดี. วอเตอร์ ลอว์ นักศึกษาแพทย์แผนกศัลยแพทย์ชื่อดังแห่งแฟรเวนซ์ เขาคนนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก และเป็นที่จับตามองในฐานะศัลยแพทย์ฝีมือดีที่ฉายแววตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ แล้วยังสามารถจบหลักสูตรการแพทย์ของแฟรเวนซ์ เมืองสีขาวที่ขึ้นชื่อเรื่องการแพทย์มากเป็นอันดับต้นๆของโลกได้โดยใช้เวลาแค่สองปี ปัจจุบันแม้ว่าเจ้าตัวจะอายุแค่ 22 แต่ก็มีคลีนิกด้านศัลยแพทย์เป็นของตัวเอง มันไม่ใช่คลีนิกใหญ่เพราะลอว์เป็นคนที่ค่อนข้างรักสงบ แต่ก็มีผู้คนหลั่งไหลเข้าไปมากมายแบบที่คุณหมอหนุ่มอาจจะไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเงินไปทั้งชีวิต

แล้วที่สำคัญพ่อหนุ่มชื่อดี.คนนั้น ก็เป็นแฟนกับพ่อเด็กช่างผมแดงคนนี้นี่เอง แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่รู้

“ก็เจ้านั่นมันเอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในคลีนิกนี่ ปีใหม่ชวนไปเที่ยวก็บอกคนเยอะอย่างงั้นอย่างงี้ เดือนนี้ที่ม.ฉันมีวันหยุด เลยกะว่าจะลักพาตัวไปเที่ยวด้วยให้ได้” พ่อเด็กผมแดงร่ายแผนการในใจออกมาเป็นช็อตๆ สีหน้าจริงจังจนซันจิอดอมยิ้มไปเสียไม่ได้

“อิจฉาลอว์จังนะ” ในที่สุดกุ๊กสาวคนสวยก็เอ่ยขึ้นมาลอยๆ

“หือ? เรื่องอะไร” คนฟังพาลซื่อใส่ซะงั้น

“อิจฉาที่มีแฟนรักขนาดนี้ ทำไมคนรอบข้างฉันถึงได้สวีทกันขนาดนี้ว้าไม่เห็นใจคนโสดกันบ้างเล้ย” เด็กสาวผมทองส่ายหน้าเบาๆ

“เอาน่า เดี๋ยวเธอก็เจอเองนั่นแหละ…จริงๆก็เจอแล้วแต่เล่นตัวอยู่ไม่ใช่รึไง?”

เหมือนจะได้เห็นดวงหน้าที่หันมาส่งค้อนวงใหญ่ให้ บอกกลายๆว่า ‘มีก็แย่แล้ว’ แต่ในหัวกลับนึกไปถึงภาพคนที่ช่วงนี้ชอบทำให้ใจเต้นแรงบ่อยๆ จนอดหัวเราะออกมาเสียงดังไม่ได้

“แต่จะว่าไป…คนนั้นเขาก็ยังนกอยู่ป่ะ คนนั้นเขาตื้อมาตั้งกี่ปีน่าสงสารกว่าเธออีก”

“อย่าเอาฉันไปเทียบกับตานั่นได้ป่ะล่ะ น่าขนลุกออก ฮึ่ย!” ซันจิทำเสียงฮึดฮัด “พอเลิก! ไปๆไปซื้อชุดว่ายนํ้าให้คุณแฟนสุดที่รักกันดีกว่า”

มือเรียวดึงแขนเพื่อนหนุ่มผมแดงให้เดินตามเข้าไปในร้านขายชุดว่ายนํ้า และเริ่มเลือกชุดว่ายนํ้าที่คิดว่าน่าจะเหมือนกับคุณหมอหนุ่มผิวแทนคนนั้น ใจหนึ่งก็อยากจะเลือกชุดไปแกล้งอยู่ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากให้เพื่อนไปได้เที่ยวอย่างมีความสุข

ระหว่างที่เธอหยิบชุดว่ายนํ้ามาทาบกับร่างสูงๆของยูสทัส คิด ทั้งสองก็คุยกันสัพเพเหระเรื่อยเปื่อย พลางหัวเราะร่าเริงตามประสาคนที่ไม่ได้เจอกันมานาน โดยที่ไม่ได้รับรู้ถึงสายตาสองคู่ของคนสองคนที่มองมาจากถนนฝั่งตรงข้าม แม้แต่นิดเดียว…

 

………………………………………….

 

“นั่นมันซันจิจังนี่หน่า อยู่กับใครล่ะนั่นท่าทางสนิทสนมกันจังแหะ…” นามิพึมพำเหมือนขอความเห็น

“ช่างสิ ไม่เห็นเกี่ยวกับฉันเลย” โซโลตอบพลางหาวหวอด สีหน้าของเขายังคงความเบื่อหน่ายเอาไว้ไม่เปลี่ยน

เขานิ่ง…นิ่งเกินไป และความนิ่งนั้นก็ทำให้นามิติดใจ

“ตามไปดูกันเถอะ!” ดวงตากลมโตสีนํ้าตาลแดงนั้นส่องประกายวาววับ ท่าทางอยากรู้อยากเห็นนั้นทำให้โซโลอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา

“ไร้สาระน่า เธอไม่ซื้อของต่อแล้วรึไง?”

“เอาน่า ก็ซื้อไปตั้งเยอะแล้วนี่! ตามไปดูกัน อ๊ะ! หลบเร็วๆ พวกนั้นออกจากร้านแล้ว”

นามิดึงแขนโซโลเข้าไปหลบที่ซอกตึกใกล้ๆ ทันทีที่เธอเห็นว่าเป้าหมายทั้งสองคนเดินออกมาจากร้าน ใบหน้าเปื้อนยิ้มของสองคนทำให้คนมองรู้สึกแปลกใจไม่น้อย

เมื่อทั้งสองคนเดินผ่านไปแล้ว นามิก็ดึงโซโลให้เดินตามอีกฝ่ายอยู่ไกลๆ ทำตัวเป็นนักสืบสาวสะกดรอยตามซันจิกับพ่อหนุ่มผมแดงที่เธอรู้สึกคุ้นหน้าตะหงิดๆแบบไม่ให้คลาดสายตา โดยมีโซโลเดินถือของตามแบบไม่ใคร่จะเต็มใจนัก แต่ดูเหมือนไม่มีทางเลือกอยู่ไม่ไกล

สองหนุ่มสาวเดินเข้า-ออกร้านขายชุดว่ายนํ้าอีกหลายร้าน จนในที่สุดก็เลือกชุดที่ถูกใจได้ มันเป็นชุดว่ายนํ้าผู้ชาย ถ้าให้เดาซันจิก็คงเลือกให้พ่อหนุ่มผมแดง แต่จากสายตานามิเธอคิดว่าดีไซต์ที่เลือกดูไม่ตรงกับภาพลักษณ์ของเขาสักนิด แถมคิดไปเองรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่มันดูจะตัวเล็กเกินกว่าที่ผมหนุ่มผมแดงหุ่นนักกีฬาคนนั้นจะใส่ได้

หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เข้าไปหาอะไรกินที่ร้านอาหารข้างทาง มันเป็นร้านเล็กๆที่บรรยากาศดูน่ารัก ท่าทางอาหารคงจะอร่อยน่าดู เพราะชายหนุ่มผมแดงคนนั้นสวาปามเข้าไปตั้งสามสี่จาน ทั้งสองคนคุยกันอยู่อีกพักใหญ่ๆ บรรยากาศที่แผ่ออกมาจากร่างของคนสองคนที่หัวเราะกันออกมาเป็นพักๆนั้น เป็นบรรยากาศสีชมพูที่ชวนให้คนโสดรู้สึกอิจฉา จนกระทั่งหิมะแรกของฤดูตกลงมาและท้องฟ้าก็กลายเป็นสีนํ้าเงินค่อนข้างเข้ม ทั้งสองคนจึงลุกออกมาจากร้าน

จากเส้นทางที่ทั้งสองเดินไปอยู่นั้น นามิผู้ชำนาญเส้นทางในเมืองมากที่สุดในกลุ่มก็เดาออกได้ในทันทีว่าพวกเขากำลังจะไปที่สถานีรถไฟ เป็นไปได้ว่าชายหนุ่มผมแดงคนนั้นจะอยู่ที่เมืองอื่น

มือเรียวของกุ๊กสาวประจำกลุ่มหมวกฟางซีดขาวกว่าทุกที ยิ่งเมื่อมั้นถูกเน้นด้วยแขนเสื้อโค้ทสีดำก็ยิ่งทำให้สังเกตได้ง่าย คนผมแดงเองก็คงรับรู้ได้เหมือนกัน เขาจึงดึงมืออีกคนเข้ามาซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อตัวเอง ดูราวกับคู่รักวัยรุ่นที่กำลังเดินซื้อของกันอย่างไรก็อย่างนั้น…

“ไม่จริงน่า ซันจิจังมีแฟนจริงๆหรอเนี่ย” นามิพึมพำอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

เพื่อนสาวคนนั้นที่ปฏิเสธผู้ชายทุกคนที่เข้ามาจีบอย่างไม่ใยดีมาตลอด แท้จริงแล้วมีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้วอย่างงั้นหรอ?…ที่จริงก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ แม้ว่าเวลาส่วนใหญ่ถ้าซันจิไม่วุ่นวายอยู่กับพวกเธอก็ช่วยงานที่ภัตตราคารบาราติเอ ไม่น่าจะมีเวลาไปมีแฟนที่ไหน แต่เอาจริงๆถ้าพ่อหนุ่มผมแดงคนนั้นอาศัยอยู่เมืองข้างๆ การที่เขาจะมาหาซันจิโดยที่พวกเธอไม่ได้เจอ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

ถึงจะคิดแบบนั้นแต่ลึกๆในใจ สัญชาตญาณของนามิก็ร้องเตือนว่ามันไม่น่าจะเป็นแบบนั้น…

ดวงตากลมโตแอบเหลือบมองเพื่อนหนุ่มที่จ้องภาพของซันจิกับชายผมแดงคนนั้นไม่วางตา ซํ้ายังแผ่บรรยากาศมาคุออกมาอย่างไม่ปิดบังเล็กน้อย และไม่พูดอะไรนอกจากเดินตามคนทั้งคู่ต่อไป

จู่ๆพ่อหนุ่มผมแดงคนนั้นก็เปลี่ยนเส้นทาง เขาดึงมือซันจิให้เดินเข้าร้านที่เดินผ่านพอดี ด้วยสีหน้าเริงร่าในขณะที่เด็กสาวผู้ถูกลากไปนั้นทำหน้าหวอสนิท เธอปฏิเสธและพยายามยื้อไม่เข้าไปแต่ดูจากท่าทางแล้ว น่าจะต้านแรงของคนตัวโตกว่าไม่ไหว สุดท้ายก็ถูกดึงเข้าไปในร้านในที่สุด

นามิย่องเข้าไปหลบที่ซอกตึกข้างๆร้าน ที่ด้านหน้าร้านนั้นติดเป็นกระจกใสขนาดใหญ่ทำให้ไม่สามารถเข้าไปสังเกตการณ์ใกล้กว่านี้ได้แล้ว หิมะที่ตกลงมาทำให้เด็กสาวหนาวนิดหน่อย เธอก็เลือกที่จะซุกมือตัวเองลงกระเป๋าเสื้อแล้วหาทางแอบส่องเข้าไปในร้านให้ได้อย่างไม่ย่อท้อ

ทันทีที่มือเรียวของเธอซุกลงไปถึงก้นกระเป๋า มันก็สัมผัสถึงบางสิ่งกลมๆในนั้นที่ทำให้เธอปิ๊งไอเดีย และหยิบมันออกมาอย่างว่องไว

“นั่นเธอจะทำอะไร?” โซโลอดถามไม่ได้ เมื่อเขาเห็นว่านามิหยิบตลับแป้งออกมา

“เชื่อฉันน่า” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ซุกซนปรากฏบนใบหน้าน่ารัก

แล้วเธอก็กดตลับแป้งพกพานั้นให้เปิดออก สิ่งที่ปรากฏในนั้นก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษไปจากตลับแป้งทั่วๆไป ที่จะต้องมีกระจกและตัวแป้ง นามิถือตลับแป้งไว้ในมือหันหลังให้กับร้านนั้นและขยับมือไปมา เพื่อให้ภาพที่จะท้อนกับกระจกเงานั้นทำให้เธอเห็นภายในร้าน ขยับอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดเธอก็ฉีกยิ้มออกมากว้างกว่าเดิม เอ่ยเบาๆอย่างยินดี

“เห็นแล้ว!”

โซโลขยับเขาไปดูบ้าง และภาพที่สะท้อนอยู่ในกระจกเงานั้นก็คือร้านขายชุดว่ายนํ้าผู้หญิง ที่ดูเหมือนจะเหลือลูกค้าแค่คนที่พวกเขาแอบสะกดรอยตามมาตลอดทาง ชายหนุ่มผมแดงหัวเราะร่าเขาหยิบชุดว่ายนํ้าจากราวเกือบสิบชุด ยัดมันใส่มือซันจิที่ทำหน้าตาปะหลักปะเหลือก และทำได้แค่หันหลังเดินเข้าไปในห้องลอง ที่เป็นผ้าม่านกั้นเบื้องหน้าเก้าอี้ที่หนุ่มผมแดงทรุดตัวลงนั่ง

ไม่นานผ้าม่านก็ขยับไหว ใบหน้าขาวเนียนแดงระเรื่อยื่นออกมา เรียวปากที่มักจะคาบบุหรี่อยู่เสมอนั้นขยับเอ่ยต่อรอง เหมือนว่าเธอจะไม่อยากออกมาและเธอก็ทำไม่สำเร็จ เพราะไม่กี่อึดใจต่อมา เรือนรางผอมบางขาวเนียนในชุดว่ายนํ้าทูพีชตัวจิ๋วสีชมพูแปร๋นก็ปรากฏให้เห็นหลังรูดม่านกั้นออก ไม่รู้ว่าคนที่ได้เห็นจ่ะๆตาจะหน้าร้อนขนาดไหน แต่คนที่เห็นจากกระจกตลับแป้งตรงนี้แทบจะตายตาหลับอยู่แล้ว

ปกติซันจิเป็นคนที่ชอบสวมชุดสูทสตรีแบบกระโปรงสั้นสีเข้มมิดชิดเรียบร้อย ผิวเนื้อที่เห็นมากที่สุดของเธอนั้นคือใบหน้าและมือทั้งสองข้างเท่านั้น แต่นี่…นี่มันแค่ชุดว่ายนํ้าตัวเล็กๆ ไม่อยากให้ใครมาเห็นเลยจริงๆ ทั้งสีหน้าเขินอาย และเรือนร่างน่าสัมผัสนั้น…

ขนาดนามิเป็นผู้หญิงเหมือนกันเธอก็ยังอดที่จะชื่นชมในใจไม่ได้ ถึงจะไม่ได้ทรวดทรงองเอวมากมายอะไร แต่ก็ดูมีเสน่ห์ดึงดูดสายตา ไม่มากไม่น้อยกำลังพอดีก็ว่าได้ ยิ่งเมื่อรวมกับชุดว่ายนํ้าสีชมพูตัวนั้นมันยิ่งทำให้ซันจิดูน่ารักน่าถะนุถนอมเข้าไปกันใหญ่

แน่นอนว่าภาพนั้นปรากฏให้เห็นเพียงครู่เดียว เพราะกุ๊กสาวคนสวยของกลุ่มหมวกฟางหนีกลับเข้าไปหลังผ้าม่านอีกแล้ว

การลองชุดว่ายนํ้าของกุ๊กสาวยังดำเนินไปอีกหลายช็อต ตั้งแต่ชุดว่ายนํ้าระบายริ้วผ้าลูกไม้สีอ่อนน่ารักไปจนถึงชุดว่ายนํ้าเรียบๆสีเจ็บดูเซ็กซี่ และในที่สุดก็ดูเหมือนพ่อหนุ่มผมแดงจะเลือกได้สักที เขาหยิบชุดว่ายนํ้าออกมาจากกองชุดว่ายนํ้าที่ซันจิลองไปจำนวนมาก และเดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ ตรงจุดนั้นเป็นมุมอับของกระจกเงาบานเล็กแล้ว และนั่นทำให้คนทั้งสองที่ทำตัวเป็นนักสืบอยู่นี้ไม่รู้แน่ว่าชุดไหนกันแน่ที่เขาเลือก แต่ดูเหมือนไม่ว่าจะเป็นชุดไหนกุ๊กสาวก็ไม่พอใจทั้งนั้น

ในที่สุดทั้งสองก็เดินออกมาจากร้านพอดีกับที่ฟ้าเริ่มมืดไปแล้วจริงๆ ไฟข้างทางก็ส่องแสงมาให้ความสว่างกับคนเดินถนนที่เหลือเพียงประปรายเท่านั้นอย่างทันท่วงที ซันจิกับหนุ่มผมแดงตรงไปยังเป้าหมายเดิมอีกครั้ง ในที่สุดทั้งสองก็ไปถึงสถานี ซันจิมองส่งชายหนุ่มผมแดงที่โบกมือลาแล้วเดินลับเข้าไปในสถานีจนลับตา ก่อนจะบิดกายไล่ความเมื่อยล้าเบาๆ แล้วหันหลังเดินกลับบ้านของตัวเองบ้าง ในมือเรียวบ้างที่ทำอาหารมามากมายนั้น ถือถุงกระดาษใบเล็กกำกับโลโก้ร้านขายชุดว่ายนํ้าเอาไว้ไปด้วย

 

 

“จะเอายังไงต่อล่ะ?” โซโลเอ่ยถามเมื่อสองคนที่พวกเขา(นามิ)สะกดรอยตามแยกย้ายกันกลับบ้านแล้ว “จะกลับเลยไหมตรงนี้สถานีพอดี เดี๋ยวฉันเอาของไปฝากยัยคิ้วม้วนแทนเธอก็ได้”

นามิหันมองแสงไฟสีนวลตาของสถานีรถไฟสลับกับหิมะที่โปรยปรายลงมาไม่เรื่อยๆ และทำท่าว่าคืนนี้จะไม่หยุดตกแน่ๆอย่างชั่งใจ เห็นอย่างนี้เธอก็มีความเกรงใจอยู่เหมือนกันนะ กลัวว่าเพื่อนจะหลงทางก็ด้วย แล้วก็ไม่อยากรบกวนเพื่อนจนดึกดื่นขนาดนี้เลย…

“งั้นก็ฝากด้วยนะโซโล” ไม่อยากจริงๆนะ

นามิเลือกถุงกระดาษเบาๆไปหลายถุง และเหลือที่คิดว่าไม่จำเป็นต้องแพ็กลงกระเป๋าเดินทางทันทีก็ได้ไว้กับโซโล โบกมือลาเล็กน้อย กล่าวขอบคุณอีกนิดหน่อย ก่อนจะเดินหายเข้าไปในสถานีรถไฟอีกคน

พอเหลืออยู่คนเดียวแล้วภาพลักษณ์ที่แกล้งทำให้ดูเฉยเมยนั้นก็พังทลายลงอย่างรวดเร็ว ร่างสูงๆทรุดลงนั่งยองๆ ขยี้เรือนผมสั้นเกรียนของตัวเองอย่างงุ่นง่านใจ ตัวเขาเองยังสัมผัสความอุ่นร้อนบนใบหน้าของตัวเองได้อยู่เลย อดรู้สึกไม่ได้ว่าตัวเองเหมือนพวกตาแก่หื่นกามแอบส่องสาววัยรุ่น

ทำอย่างนั้นอยู่ครู่ใหญ่ในที่สุดก็สงบใจได้ และออกเดินอีกครั้ง หิมะยังคงโปรยปรายลงมารู้สึกโชคดีนิดหน่อยที่เพโรน่าเลือกเสื้อโค้ทตัวหนามาให้ ลมหายใจที่ถูกปลดปล่อยออกมานั้นกลายเป็นไอสีขาว…วันนี้มันหนาวจริงๆ ทั้งร่างกายทั้งจิตใจเลย

“แฟน…จริงหรอ…” นํ้าเสียงแหบทุ้มที่ตัวเขาเปล่งออกมานั้นดูล่องลอยยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ในหัวตอนนี้ว่างเปล่าขาวโพลนยิ่งกว่าหิมะที่กองอยู่ที่พื้นซะอีก

ตากหิมะจนพอใจในที่สุดเจ้าตัวก็ตัดสินใจออกเดินต่อ เลี้ยวผิดอยู่สองสามครั้งแต่ในที่สุดก็ไปถึงภัตตราคารบาราติเอจนได้ ในวันที่อากาศหนาวเย็นแบบนี้ภัตตราคารชื่อดังดูจะเปิดนานกว่าปกติหน่อย ตามวิสัยความใจดีของเจ้าของ ตามปกติถ้าเป็นลูกค้าก็จะเข้าทางประตูหน้าธรรมดา แต่สำหรับแขกพิเศษ(พวกเพื่อนๆ)ของรองเชฟคนสวยแล้ว จะมีทางเข้าพิเศษเป็นทางหลังร้านติดกับครัว

มือหนาเคาะประตูไม้สองครั้งเป็นรหัส ไม่นานกุ๊กหนุ่มร่างสูงใหญ่ใบหน้าเถื่อนจนน่าจะไปเป็นโจรมากกว่ากุ๊ก ก็เปิดประตูผัวะออกมาแบบไม่เบามือนัก จนเกือบจะกระแทกหน้าโซโลอยู่แล้วในอีกไม่กี่เซนฯ

“มาหาซันจิหรอไอ้หัวตะไคร้นํ้า” เป็น ‘พาร์ตี้’ นั่นเองที่กล้าเรียกโซโลแบบนี้ สีหน้าเขาดูเบื่อหน่ายอย่างเห็นได้ชัด “’โทษทีนะ ถ้าอยากเจอคงต้องรอแล้วล่ะ ยัยนั่นทำงานอยู่”

“ฉันแค่เอาของมาฝาก นามิฝากมา” โซโลยื่นถุงกระดาษในมือให้อีกฝ่าย แต่พอสังเกตดีๆก็เห็นมากุ๊กหนุ่มถือมืดทำครัวอยู่ และมืออีกข้างก็เลอะเทอะไปหมด เขาจึงไม่ได้รับมันไป

“ก็บอกว่าต้องรอไง ให้ซันจิมาเอาเองก็แล้วกัน” พาร์ตี้โบกมือตัดรำคาญ “อีกสักชั่วโมงสองชั่วโมงนู่นกว่าร้านจะปิดแถมวันนี้ลูกค้าเยอะเป็นพิเศษด้วย ถ้าจะรอก็รอไปไม่งั้นก็กลับไปซะ!”

 

ปัง!

แล้วประตูก็กระแทกปิดลงใส่หน้าโรโรโนอา โซโล…

“รอก็ได้…” เด็กหนุ่มยักไหล่

เขาหยิบโทรศัพท์ที่ไม่ค่อยจะได้ใช้เท่าไรนักของตัวเองออกมากดส่งข้อความ บอกเพโรน่าที่อยู่ที่บ้านคนเดียวว่าคงกลับดึก ให้ล็อกประตูบ้านให้ดีๆ ถึงจะเป็นห่วงอยู่บ้างแต่อีกฝ่ายไม่ใช่คนไม่สู้คน แถมเขายังไม่คิดว่าจะมีใครกล้าบุกคฤหาสน์ดรากูลด้วย

โซโลเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าเมื่อส่งข้อความเสร็จ ทรุดตัวลงนั่งที่บันไดขั้นล่างสุดของประตูหลังพ่นลมหายใจสีขาวออกมายาวๆ หลับตาลงพักเหนื่อยที่สะสมมาทั้งวัน

 

……………………………………..

 

“เอาล่ะ ลูกค้ากลับหมดแล้ววันนี้เลิกแค่นี้” เสียงโอนเนอร์เซฟดังสะท้อนก้องในห้องครัว พร้อมเสียงขานรับและเสียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้าของเหล่าชายฉกรรจ์นับสิบชีวิตในห้องครัว “วันนี้ยังกลับมาช่วยงานอีกหรอซันจิ”

“แน่นอนสิ ฉันแอบอู้ไปตั้งอาทิตย์นึงวันนี้ก็ไม่ได้อยู่ร้านแถมกำลังจะไปเที่ยวอีก เดี๋ยวตาแก่เหนื่อยตายก่อนพอดี” กุ๊กสวยที่รวบผมยาวไว้ด้านหลัง สวมผ้ากันเปื้อนและพับแขนเสื้อของตนขึ้นไปถึงศอก เอี้ยวตัวออกมาพูดยิ้มๆ

“หึๆ ทำเป็นพูดดีนะยัยเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นนํ้านม เห็นพาร์ตี้บอกว่าเจ้าหนูโรโรโนอามาหาแน่ะ” มือใหญ่ของคนใจดีลูบศีรษะเด็กสาวหนักๆทีหนึ่ง ก่อนหันหลังไปตั้งกระทะเตรียมทำอาหารเย็น

ซันจิยิ้มรับความอ่อนโยนนั้นก่อนจะเดินออกไปหลังร้านอย่างที่เซฟบอก ทันทีที่เปิดประตูออกไปนั้นก็เห็นเจ้าของผมเขียวๆ นั่งหัวโด่อยู่ที่บันไดขั้นล่างสุด บนไหล่กว้างนั้นมีหิมะถมกันจนพูนไปหมด เป็นตัวบ่งบอกอย่างดีว่าอีกฝ่ายมานั่งรอนานแค่ไหนแล้ว

“เฮ้ย! มานั่งทำไมหนาวๆแบบนี้เล่า” ซันจิก้าวเร็วๆลงไปหาอีกฝ่ายทันที ทันทีที่แตะถูกมือของอีกฝ่ายก็พบว่ามันเย็นเฉียบไปหมด “ตาหัวมอสงี่เง่าเอ๊ย!”

ซันจิวิ่งหายกลับเข้าไปในร้าน ไม่นานก็กลับมาหร้อมผ้าห่มนุ่มๆกับซาเกอุ่นๆ เธอสะบัดผ้าให้คลุมร่างของเขาและส่งสาเกขวดนั้นให้เขา

“เข้าไปข้างในก่อนเถอะ”

พอเห็นว่าเขาน่าจะพอขยับตัวได้แล้ว ซันจิก็จับแขนแกร่งข้างหนึ่งขึ้นพาดบ่าพากลับเข้าบาราติเอ ทำเอากุ๊กในร้านวิ่งกันให้วุ่นไปหมด จนเซฟต้องออกมาสั่งการเอง ในที่สุดโซโลก็ถูกพาขึ้นมาที่ชั้นสามส่วนของห้องพักได้ในที่สุด

เซฟอนุญาตให้ซันจิใช้ห้องของเขาที่มีเตาผิงอยู่เพื่อให้เพื่อนของเธอได้อบอุ่นร่างกาย และเธอก็ไม่คิดจะปฏิเสธแม้แต่น้อย

“เชื่อเขาเลย! พาร์ตี้อย่างน้อยก็พาหมอนั่นไปนั่งรอในร้านสิ!” ซันจิตวาดกุ๊กร่างใหญ่อย่างหงุดหงิด  นอกจากจะไม่บอกเธอว่าอีกฝ่ายมาหาแล้ว ยังทิ้งให้ต้องรออยู่นอกร้านที่หิมะตกหนักแบบนี้ ถ้าเป็นคนธรรมดาป่านนี้ได้ตายไปแล้ว!

“ก็ไม่คิดว่ามันจะนั่งรอจริงๆนี่หว่า! ถ้าบอกว่ามันมาจีบเธอฉันก็เชื่อนะเนี่ย อะไรจะลงทุนเบอร์นี้วะ” พาร์ตี้แก้ตัวไปกึ่งจะรู้สึกผิดลึกๆ “ขอโทษ…”

พอเห็นพ่อขาโจ๋รู้สึกผิดจนแสดงออกทางสีหน้าขนาดนั้น เธอก็ทำได้แค่ลอบถอนหายใจลึกๆ จะโกรธต่อก็โกรธไม่ลงซะแล้ว

“เอาไว้ไปบอกหมอนั่นเองเถอะนะ”

กล่าวจบก็เดินไปยกอาหารในครัวเดินกลับขึ้นไปหาโซโลด้านบน พอเปิดประตูห้องนอนของเซฟเข้าไป ก็เห็นว่าคนที่เกือบได้ขึ้นหน้าหนึ่งว่าแข็งตายอยู่หลังภัตตราคารชื่อดังก็ลุกขึ้นนั่งแล้ว

“’ไง อุ่นขึ้นรึยัง?”

มือเรียววางถาดอาหารลงไม่ไกลเอื้อมออกไปแตะแก้มอีกฝ่ายวัดอุณหภูมิ มันยังคงเย็นอยู่แต่น้อยกว่าเมื่อกี้

“กินซุปนี่สิ มันช่วยให้ตัวอุ่นขึ้นนะ” ซันจิเลื่อนถาดไปให้อีกฝ่าย และโซโลก็รับเอาไปกินแต่โดยดี “แล้วมาหาทำไมดึกดื่น พรุ่งนี้วันนัดแล้วไม่ใช่หรอ? ไม่กลับบ้านไปเตรียมของรึไง”

“นามิฝากของมา บอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้จะแวะมาเอา” โซโลพยักพะเยิดไปทางถุงที่เขาถือมาด้วย และซันจิก็พยักหน้ารับรู้

เด็กสาวนั่งเป็นเพื่อนโซโลพักใหญ่ โดยไม่มีบทสนทนาอะไรระหว่างกันเลย แล้วเธอก็ยกมือขึ้นกัดเล็บ

“ไม่สูบล่ะ” ในที่สุดพ่อหนุ่มผู้มาเยือนก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบลง

“ไม่ล่ะ” เธอปฏิเสธเบาๆ วางมือลงไม่ให้อีกฝ่ายจับสังเกตได้อีก

เธอไม่ควรจะสูบบุหรี่ในห้องของเซฟ ไม่ว่าจะด้วยกรณีใดๆก็ตาม…

ในที่สุดโซโลก็คิดว่าเขาควรกลับแล้ว เขารู้สึกดีใจที่ได้เห็นหน้าอีกฝ่ายแต่ในขณะเดียวกัน ภาพที่ซันจิกำลังเดินกระหนุงกระหนิงกับชายหนุ่มแดงคนนั้น ก็ยังคงวนลูปอยู่ในหัวเขาไม่หยุด มันเป็นความรู้สึกที่แย่แต่ก็ไม่อยากละสายตา…

ซันจิดึงดันว่าจะออกมาส่งเขาอย่างที่คิด เธอยังคงดึงแขนเสื้อเขาเหมือนทุกที…มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะระงับ แต่เขาก็ต้องทำแม้ว่าลึกๆจะอยากดึงมือเรียวนั้นเข้ามากุม ซุกเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อ เหมือนที่มีคนทำมาก่อนแล้ว…

โซโลละสายตาจากมือเรียวนั้นมองกลับไปที่เรือนผมสีสว่าง ก่อนหน้านี้เธอรวบมันขึ้นไปคงเพราะงานในครัวยุ่ง พอทำแบบนั้นแล้วก็ดูแปลกตาดีแต่ก็น่ามองไปอีกแบบ แต่ตอนนี้เธอปล่อยมันลงมาเหมือนเดิมแล้ว

ระยะทางเดินกลับบ้านในวันนี้ดูจะใกล้กว่าทุกที ไม่นานเขาก็กลับมาถึงคฤหาสน์สีทะมึนหลังเดิมอีกครั้ง เด็กสาวโบกมือลาเหมือนอย่างทุกที ตอนนี้เธอคาบบุหรี่อยู่ที่มุมปากมันเป็นภาพเดิมๆที่เห็นแทบทุกวัน แต่ความรู้สึกตอนนี้ มันไม่เหมือนเดิม…ไม่มีทางเหมือนเดิมอีกแล้ว…เธอกำลังจะหันหลังเดินกลับไป และโซโลก็รู้สึกว่าตัวเองตะโกนรั้งเธอเอาไว้ แต่มันเพื่ออะไรล่ะ

ซันจิหันกลับมามอง บนใบหน้าน่ารักลึกลงไปในนัยน์ตาสีสวยนั้นเติมเต็มด้วยความสงสัย

“…กลับดีๆ…”

กุ๊กสาวระบายยิ้มเล็กๆเป็นการตอบรับ ก่อนจะเดินหายเข้าไปในความมืดมิดของคํ่าคืนที่หิมะไม่ยอมหยุดตก ส่วนตัวเขาก็ทำได้แค่เปิดประตูเดินเข้าบ้านเท่านั้น…

 

 

 

 

 

 

ถ้าชอบก็อย่าลืมกดไลค์และคอมเมนท์ให้กำลังใจคนเขียนกันนะคะ ><

ใส่ความเห็น