One Piece

One piece The High school Episodes : Uproariously languor XI

บทที่ 10 : มันไม่ใช่ความผิดของใคร

 

“พวกเราฟังเรื่องทุกอย่างแล้ว ดูเหมือนพวกคุณจะไม่ได้บอกพวกเราทุกเรื่องใช่ไหม?” เมื่อทุกคนกลับมารวมตัวกันในห้องอีกครั้ง นามิก็ยิงคำถามทันที

สามหนุ่มใหญ่เหล่มองกันเองสื่อสารกันทางสายตา แล้วก็เป็นคร็อกโคไดล์คนเดิมที่อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตนเอง

“เมื่อไม่กี่วันก่อนฉันไปเข้าร่วมงานประมูลเพราะได้ยินข่าวลือแปลกๆมา ว่ามีภาพวาดของเจ้าหญิงถูกส่งเข้าไปในตลาดมืด” ชายหนุ่มเกริ่นนำ “แล้วภาพที่ได้เห็นในงานประมูลก็คือภาพของบุตรสาวลำดับหนึ่งของตระกูลวินสโม๊ค เพื่อนของพวกเธอ ซันจิ…วินสโม๊ค ซันจิ”

อากาศภายในห้องดูจะหนักขึ้นไปอีกลำดับหนึ่ง เพราะผู้ใหญ่ทุกคนในที่นี้ล้วนแล้วแต่รู้เรื่องของวินสโม๊คดี และยิ่งรู้สึกเครียดเมื่อข่าวลือเกี่ยวกับภาพของเธอเป็นเรื่องจริงขึ้นมาแบบนี้

“พวกเธอคงจะไม่รู้จักสินะ” โรบินเป็นคนอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับนามสกุลของเด็กสาวผู้ถูกพาตัวไป

เมื่อรู้ความจริงกลุ่มหมวกฟางทุกคนรวมถึงคายะก็อึ้งพูดไม่ออกกันไปเป็นแถบ โซโลกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดโปนบนแขนทั้งสองข้าง

“คนพวกนั้นขโมยสมุดของเธอไปใช่ไหมอุซปคุง มีรูปอะไรหายไปรึเปล่า?” เตโซโรทัก

เด็กหนุ่มจมูกยาวรีบหยิบสมุดของตัวเองออกมาเปิดดูอย่างร้อนรน และทันทีที่รู้ว่ารูปที่หายไปคือรูปไหน เด็กหนุ่มก็ปะติดปะต่อเรื่องราวทุกอย่างได้ในทันที เขาทรุดตัวลงนั่งกับพื้นสีหน้าสิ้นหวัง

“ภาพวาดนั่น…เป็นของผมเอง…ใช่ไหมครับ” เขาหันไปถามคร็อกโคไดล์ ซึ่งก็ได้คำตอบเป็นการพยักหน้านิ่งๆ

ไม่แปลกที่จะรู้ เพราะรู้จักกันมานานลายเส้นก็เหมือนลายนิ้วมือของศิลปิน ต่างคนก็จะมีสไตล์ที่ต่างกันและที่สำคัญ ลายเซ็นที่บ่งบอกชื่ออย่างชัดเจนนั้นก็ไม่โกหก

“ไม่จำเป็นต้องเสียใจ ต่อให้เธอไม่วาดรูปนั้นเบจจ์ก็หาตัวซันจิเจออยู่ดี” โดฟลามิงโก้ยักไหล่เหมือนมันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ “ช้าหรือเร็วพวกนั้นก็ต้องหาเธอเจอถ้าพวกเขาต้องการ เอาเวลาเสียใจไปว่างแผนกันดีกว่า พวกเธอคงไม่ยอมปล่อยให้เพื่อนถูกฉกตัวไปแล้วอยู่เฉยๆหรอกใช่ไหม?”

ทุกคนหันไปมองผู้ชายที่ตัวสูงที่สุดในห้องด้วยสายตาผิดคาดและกึ่งจะประทับใจ ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดดีๆแบบนี้จะออกจากปากผู้ชายท่าทางพึ่งพาไม่ได้คนนี้…

“แต่ว่าตอนนี้ทุกคนไปพักกัน ‘จริงๆ’ ก่อนดีกว่าไหม?” ลอว์เอ่ยขึ้นขัดด้วยนํ้าเสียงคุณหมอสั่งคนไข้ “งานแต่งงานน่ะไม่มีทางจัดขึ้นพรุ่งนี้มะรืนนี้อยู่แล้ว แต่ถ้าพวกนายทุกคนมาหมอบเอากลางทางทุกอย่างก็ล้มไม่เป็นท่ากันพอดี เพราะงั้นไปนอนเอาแรงกันก่อน ทุกคนเลย”

ศัลยแพทย์หนุ่มเน้นเสียงที่คำว่าทุกคนหนักแน่น แล้วไล่ทุกคนดวงสายตาเย็นเฉียบให้จำต้องเดินออกจากห้องพักวีไอพีอีกครั้ง

“นอนพักเยอะๆ พรุ่งนี้จะให้คนมารับไปที่คฤหาสน์” โดฟลามิงโก้หันไปบอกเตโซโรก่อนจะปิดประตูห้องอย่างแผ่วเบา

แสงไฟถูกหรี่ลงให้เหลือแค่แสงสีนวลตาที่หัวเตียง เตโซโรทิ้งกายลงนอนบนเตียงร้องโอดโอยออกมาเบาๆกับความระบมที่ยังหลงเหลืออยู่ แต่ก็ไม่ลืมจะหยิบโทรศัทพ์ออกมาส่งข้อความไปถึงคนรักที่อยู่อีกฉีกโลกหนึ่ง ป่านนี้เธอคงเป็นห่วงมากแล้ว ก่อนปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยล้า ทิ้งเรื่องวุ่นวายทุกอย่างเอาไว้เบื้องหลังแล้วจมลงสู่ห้วงนิทรา

 

 

ดึกดื่นมากแล้วส่วนของบ้านเรือนที่สามารถมองเห็นได้จากหน้าต่างขนาดใหญ่ บริเวณชั้นสามของคฤหาสน์ดอนฆีโฮเต้ ก็เริ่มที่จะดับไฟจนมืดสนิทหลงเหลือเพียงส่วนตัวเมืองของนครแห่งความรักอันเร่าร้อนเท่านั้น ที่ยังเปล่งประกายแสงไฟราวกับไม่มีวันหลับใหลให้ได้เห็นไกลๆ

โซโลยังนอนไม่หลับ เขาพิงไหล่ลงกับขอบหน้าต่างเหม่อมองออกไปไกลมือหนากอดอกเอาไว้หลวมๆ ภาพตอนที่ประตูรถไฟปิดลงและใบหน้าของเด็กสาวที่เขารักห่างไกลออกไป เพราะรถไฟออกตัวยังตราตรึงอยู่ในหัวของเขาไม่หาย ถ้าถามว่าเขาโกรธเธอไหมแวบแรกก็แอบคิดไปบ้างว่าทำไมเธอถึงทำแบบนี้ แต่เมื่อได้ฟังความจริงเบื้องหลังของเธอ ทั้งตระกูลที่เธอจากมา ทั้งเรื่องการแต่งงาน…มันก็ออกจะดูเกินตัวเด็กม.ปลายไปเสียหน่อย และเขาก็โกรธเธอไม่ลงอีกแล้ว

มันเหลือเพียงความห่วงหาเท่านั้นที่ยังชัดเจนอยู่ในใจ เธอจะเป็นยังไงบ้างตอนนี้? จะคิดถึงเขาเหมือนที่เขาคิดถึงเธออยู่รึเปล่า? เรื่องนั้นเขาไม่อาจรู้ได้เลย

โซโลรู้ว่าซันจิรักพวกพ้องมากแค่ไหน เขาจึงไม่แปลกใจอีกแล้วที่เธอเลือกเส้นทางนี้ ถ้ากลับกันเป็นตัวเขาที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันนี้ เขาก็คงทำอย่างที่เธอทำ เขาเชื่อว่าลึกๆแล้วเด็กสาวก็ปรารถนาที่จะได้กลับมา

“มีอะไรอุซป” โซโลถามโดยไม่หันมอง เขารู้สึกมาสักพักแล้วว่าเพื่อนจมูกยาวของตนมายืนอยู่ด้านหลัง

“อย่าพูดว่าจะไม่รับคำขอโทษจากฉัน…” อุซปเกริ่นนำเหมือนอ่านใจเขาได้

ในห้องพักตอนนี้มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น อุซปจึงกล้าที่จะเดินมาพูดกับเขาอย่างตรงไปตรงมา

“ถึงแม้ว่าที่พวกคุณคร็อกโคไดล์พูดมันจะเป็นเรื่องจริง ว่าต่อให้ฉันไม่วาดรูปของเธอไปส่งประกวด คนพวกนั้นก็หาซันจิเจออยู่ดี แต่ว่ามันก็อาจจะนานกว่านี้…พวกเราอาจจะได้อยู่ด้วยกันนานกว่านี้” อุซปก้มหน้ามองพื้น เขาไม่ใช่คนกล้าหาญอย่างที่ชอบโม้แต่ก็ไม่ขี้ขลาดขนาดจะไม่กล้าเอ่ยเพียงคำขอโทษ “ให้ฉันได้ขอโทษนายเถอะนะ!”

เด็กหนุ่มก้มหัวแทบขนานกับพื้นโลก โซโลหันมามอง…ก็อย่างที่บอก เขาเข้าใจและไม่คิดโกรธเคืองใครเลย แต่ถ้าจะพูดแบบนั้นเพื่อนขี้กังวลตรงหน้าก็คงไม่ยอมแน่

“เข้าใจแล้วน่า ถ้างั้นชดใช้ด้วยการไปบอกเซฟกับฉันก็แล้วกัน” โซโลถอนหายใจตบท้ายเมื่อเพื่อนของตนเงยหน้ากลับขึ้นมายิ้มให้ได้ในที่สุด

ในที่สุดสองหนุ่มที่สบายใจกันลงได้ส่วนหนึ่งแล้วเพราะได้พูดคุยกันตรงๆเสียที ก็ลงไปนอนกับเตียงกันได้ ในหัวของโซโลยังวนเวียนเรื่องของเด็กสาวไม่หาย และยังคิดไม่ออกแม้แต่น้อยว่าจะบอกกับเซฟว่ายังไงดี ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราไปอีกคน

 

………………………………………………….

 

มันไม่มีอะไรทั้งนั้น…

 

ครื้น…!

ซ่า!ซ่า!ซ่า!

 

เสียงฟ้าคำรนเป็นสัญญาณเตือนก่อนที่หยาดฝนจะถล่มเทลงจากฟากฟ้า คนเดินถนนต่างเร่งรีบวิ่งหาที่หลบฝนกันให้วุ่นไปหมด และหากว่ามีใครสักคนวิ่งผ่านมาแถวๆคฤหาสน์ใหญ่สีทะมึนนั้น พวกเขาก็อาจจะได้ยินเสียงรํ่าไห้ปานจะขาดใจของเด็กน้อยคนหนึ่งก็เป็นได้…

“ฮือออออ…ท่านแม่…ท่านแม่…ฮึก! ฮืออออ” เด็กหญิงตัวน้อยเกาะผ้าห่มผืนขาวแน่น รํ่าไห้ราวจะขาดใจเสียให้ได้อยู่เช่นนั้นยาวนานกว่าสามชั่วโมง แสดงถึงหัวใจที่แตกสลายไปแล้วของเธออย่างไม่ต้องสงสัย

แน่นอนสิในเมื่อราชินีแห่งวินสโม๊ค แม่ของเธอได้จากไปแล้วอย่างไม่มีวันหวนคืนด้วย…

มีเพียงเธอเท่านั้นที่มายังเรือนพยาบาลแห่งนี้บ่อยๆ แม้จะถูกพ่อดุเป็นประจำแต่เธอก็ยังมาและคงมีเพียงเธอ ที่เสียใจกับการจากไปในครั้งนี้

 

“ร้องไห้มางั้นเหรอ ‘ซันจิ’” เสียงเข้มของราชาเรียกให้เด็กหญิงที่ในที่สุดก็ยอมรับการจากลานั้น และลากตัวเองซึ่งเปียกปอนไปหมดกลับมาที่คฤหาสน์ใหญ่ ให้สะดุ้งสุดตัวและหันกลับมามอบใบหน้าเหี้ยมของบิดาอย่างกล้าๆกลัวๆ

“นะ…หนู…” บุตรีเพียงคนเดียวแห่งวินสโม๊คเอ่ยออกมาไม่เป็นคำ

“ช่างเถอะ ไปซะ” ดูเหมือนวันนี้ ‘วินสโม๊ค จั๊ด’ จะเหนื่อยเกินกว่าจะมานั่งต่อความยาวสาวความยืด ดุเด็กน้อยตรงหน้า เขายกมือขึ้นกดหว่างคิ้วและโบกมือที่ถือเอกสารมากมายไว้ไล่เธอไปให้พ้นสายตา

เด็กหญิงไม่ปฏิเสธโอกาสนั้น ขาน้อยๆซอยถี่ยิบวิ่งขึ้นบันไดเวียนหรูหราตกแต่งด้วยแชนเดอร์เรียแก้ว ชั้นแล้วชั้นเล่า กระทั่งไปถึงชั้นบนสุดห้องเล็กๆใต้หนังคา นั่นล่ะที่ของเธอ…

มือเล็กกระชากประตูให้เปิดออกแล้วพุ่งตัวเข้าไปยังเตียงนอนเล็กๆของตน ร้องไห้ออกมาอีกครั้งพลางสะกดเสียงของตัวเองเอาไว้กับฝูกนุ่ม หวังแต่เพียงว่าสายฝนนี้จะช่วยทำให้ไม่มีใครได้ยินเสียงของเธอ

 

ก๊อก! ก๊อก!

เสียงเคาะประตูสองครั้งเหมือนรหัสลับ และโดยไม่รอคำตอบประตูไม้ก็เปิดออกก่อนปิดลงเมื่อร่างที่ไม่ได้สูงไปกว่าเจ้าของห้องเท่าไรนักเดินเข้ามา มือเล็กๆไม่ต่างกันลูบลงบนเรือนผมสีทองเปียกๆของน้องสาว เอ่ยเรียกอย่างอ่อนโยน

“เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอกซันจิ อย่างน้อยเธอก็ต้องไปอาบนํ้านะ…ท่านแม่ไม่อยากเห็นเธอเป็นแบบนี้หรอกนะ”

“ฮึก…เร…เรย์…” ซันจิเงยหน้าออกจากหมอน ดวงตาบวมแดงใบหน้าอาบคราบนํ้าตาทำให้เด็กหญิงดูบอบบางยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เธอเอ่ยชื่อพี่ชายคนโตออกมา ก่อนจะเบะปากทิ้งตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเขาร้องไห้ออกมาอีกครั้ง

“พี่เข้าใจ…พี่ก็เสียใจเหมือนกัน” ‘วินสโม๊ค เรย์จู’ กอดน้อยสาวแน่นกลั้นนํ้าตาที่ทำท่าจะไหลออกมาเสียให้ได้ ทำตัวให้เข้มแข็งสมกับที่เป็นพี่ชายคนโตของวินสโม๊ค

“เรย์…ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว…” ซันจิบ่นออกมาเสียงอู้อี้ “ฉันทนอยู่ที่นี่เพราะว่าท่านแม่ แน่นอนว่าเพราะเรย์ด้วยนะ แต่ว่า…ฉันก็รู้ตัวดี ฉันเป็นตัวถ่วง…ฉันไม่ได้แข็งแกร่งแบบพวกเรย์ ท่านพ่อกับคนอื่นก็เกลียดฉัน ฉันไม่ได้อยากเป็นแบบพวกเขา…”

เด็กหญิงผละจากอ้อมกอดอบอุ่น เธอก้มมองมือที่สั่นเทาทั้งสองข้างของตัวเองสลับกับสีหน้าตกใจของพี่ชาย

“ฉันอยากเป็นกุ๊ก…ฉันอยากออกไปจากที่นี่เรย์” ดวงตากลมโตสีอความารีนที่แม้จะแดงกํ่านั้น ก็ยังแสดงความตั้งใจ และเจตจำนงของตัวเองออกมาอย่างชัดเจน ทำให้ดวงตาสีเดียวกันอีกคู่นิ่งอึ้งไป

ความเงียบค่อยๆคืบคลานแทรกเข้ามาแทนที่ พร้อมบรรยากาศที่ค่อยๆเย็นลงอย่างโหดร้าย

“ฟังนะซันจิ…พี่จะพาเธอหนีเอง…”

 

อย่ากลับมาที่นี่อีกเป็นครั้งที่สองนะ!!

 

…………………………………………..

 

เฮือก!

ซันจิสะดุ้งตื่นในยามเช้ามืดที่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นดีนัก ทั้งที่เครื่องปรับอากาศถูกปรับให้หนาวจัดจนกระจกมีฝ้าขึ้นทุกบาน แต่บนร่างกายของเด็กสาวกลับโทรมไปด้วยเม็ดเหงื่อมากมายเหนียวเหนอะหนะ

ดวงตากลมสีอความารีนเบิงกว้าง เธอยังคงหอบน้อยๆยามเมื่อมองสำรวจตัวเอง เด็กสาวยังสวมเสื้อผ้าชุดเดียวกันกับที่สวมเมื่อคืนและนั่งอยู่บนพื้นหน้าประตู ในมือเธอยังกุมกระดาษที่มีภาพของตัวเองเอาไว้อยู่ ดูเหมือนเมื่อวานเธอจะร้องไห้จนผล็อยหลับไปตรงประตูเสียได้

ซันจิถอนหายใจ ลมจากเครื่องปรับอากาศเริ่มทำให้เธอคิดถึงอากาศของสถานที่ที่เธอจากมาก คงเป็นเพราะอะไรหลายๆอย่างในบรรยากาศรอบตัวนี้ ที่ทำให้จิตใจเธอดำดิ่งสู่ความทรงจำที่ฝั่งเอาไว้ลึกสุดในสมอง และดึงเธอตกลงส่งภาพฝันที่หวังว่าจะลืมในสักวันอย่างไม่อาจห้ามได้

 

มาถึงตรงนี้แล้ว ถอยกลับไม่ได้อีกแล้ว…

 

เด็กสาวถอดชุดออกโยนลงตะกร้าที่มุมห้องแล้วเดินเข้าไปอาบนํ้าอย่างอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจ แต่การเดินทางก็ยังคงดำเนินต่อไป

ซันจิไม่สนใจจะนับวันเวลาซักเท่าไร รู้แต่ว่ากิจวัตรประจำวันบนเรือของเธอซํ้าซากและน่าเบื่อ ตื่นตอนเช้าอาบนํ้ากินข้าวร่วมโต๊ะเดียวกันกับเบจจ์สามมื้อ เวลาที่เหลือเธอก็ทำได้แค่นั่งๆนอนๆในห้องพักของตัวเอง มีบ้างที่เธอออกไปเดินเล่นสำรวจไปทั่วลำเรือ แม้มันก็น่าเบื่อเหมือนกันที่ต้องมีคนคอยเดินตามตลอดเวลา เหมือนกับเธอเป็นนักโทษอุกฉกรรจ์พร้อมจะหนีทุกเมื่อที่ผู้คุมเผลอ แต่มันก็ดีกว่าหมกตัวอยู่แต่ในห้อง เพราะทุกครั้งที่เธอเผลอหลับไป…ความฝันเดิมๆก็ย้อนกลับเข้ามารีเพลในหัวเธอ เหมือนกับว่ามันไม่มีที่สิ้นสุดและมันจะไม่มีวันจบลง

เช้าวันนี้อากาศค่อนข้างหนาวเย็น แต่ซันจิก็ยังสวมชุดราตรีเปิดไหล่ได้อย่างไม่สะทกสะท้าน แน่นอนสิบ้านเกิดของเธอคือที่ๆหนาวเย็นที่สุดแล้ว อากาศแค่นี้ทำอะไรเธอไม่ได้หรอก แน่นอนว่าคนบนเรือลำนี้ไม่เป็นเช่นนั้น

เหล่าบุรุษในชุดสูททั้งหลายต่างสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ทับชุดสูทที่สวมกันอยู่แล้วหนาแน่น ทำให้ซันจิอดรู้สึกอึดอัดแทนไปเสียมิได้

“ไม่หนาวเลยหรอครับ เจ้าหญิง” หนึ่งในลูกน้องของเบจจ์ถามเมื่อเธอเดินผ่าน เธอหันไปมองคนถามเขาทำหน้าเลิกลั่กเหมือนเด็กทำความผิด ท่าทางจะคิดในใจดังไปสินะ

เด็กสาวยิ้มมุมปาก ตอนนี้เธอชินและเลิกที่จะพยายามบอกให้พวกเขาเรียกชื่อเธอไปแล้ว

“ไม่นะ ก็เกิดที่เจลมานี่” คนสวยตอบด้วยนํ้าเสียงใส “แถมเสื้อผ้าในตู้มันก็มีแต่ชุดแบบนี้ด้วย ตัวเลือกฉันเยอะเสียเมื่อไร”

เด็กสาวเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ ก่อนจะพาตัวเองไปถึงดาดฟ้าเรือ ลมหนาวพัดเรือนผมสีทองให้ปลิวไสวไปด้านหลัง มือเรียวหยิบเอาบุหรี่ออกมาจุดสูบ น่านนํ้าที่เรือกำลังล่องผ่านนั้นเต็มไปด้วยหมอกหนาทึบจนมองอะไรไม่เห็น ชวนให้นึกถึงบรรยากาศของทริลเลอร์บาร์ค แต่ซันจิก็ยังไม่ยอมกลับเข้าไปในลำเรือจนกระทั่งเวลาอาหารเย็น

“ฉันอยากทำอาหาร” ซันจิเอ่ยขึ้นเมื่อมื้อเย็นเริ่มขึ้นไปพักหนึ่งแล้ว

เบจจ์เหลือบมองคนพูดที่ทำสีหน้าสงบนิ่งจนอ่านความคิดไม่ออก ภาพที่สมบูรณ์แบบของเด็กสาวเบื้องหน้าทำให้คนที่แม้จะไม่ละเอียดอ่อนนัก ก็ยังคิดว่าเธอเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ ทั้งเส้นผมสีทองดวงตาสีฟ้าและยังสวมชุดราตรีสวยงาม

 

แต่ก็เป็นตุ๊กตาตั้งโชว์ที่ไร้วิญญาณ

 

“ก็เอาสิ” คำตอบอนุญาตนั้นทำให้ดวงตาสีฟ้าเงยขึ้นสบเป็นประกายมากขึ้น รอยยิ้มแท้จริงจากใจที่หนุ่มใหญ่ไม่เคยเห็นมาก่อนทำให้คนเลือดเย็นรู้สึก…เอ็นดู?

ยังไงซะเด็กก็ยังเป็นเด็ก ต่อให้ทำหน้านิ่งเหมือนไม่แคร์โลกแค่ไหนลึกๆแล้วเธอก็คงยังกลัว เพราะงั้นเขาจะตามใจเจ้าหญิงสักหน่อย ไม่ให้เธอกลายเป็นตุ๊กตาไปจริงๆก็คงจะไม่เป็นไร…

เช้าวันถัดมาเด็กสาวก็เดินเข้าไปทำอาหารในครัวได้ดังใจนึก ครัวของเรือลำนี้สะอาดสะอ้านและกว้าง เหล่ากุ๊กก็มีเกือบยี่สิบคน ทุกคนดูตกใจเล็กๆเมื่อเห็นว่าเจ้าหญิงเดินเข้ามาในห้องครัว

“ฉันอยากทำอาหาร ขอยืมชุดได้ไหมคะ?” เจ้าหญิงยิ้มถาม ใครสักคนก็กุลีกุจอวิ่งไปหยิบชุดมาให้ ในขณะที่คนอื่นๆปรามอย่างนอบน้อม

“อย่าเลยครับเจ้าหญิง เชื้อพระวงศ์จะมาทำงานคนรับใช้ได้ยังไงกัน”

“ฉันไม่ใช่เจ้าหญิง ฉันเป็นกุ๊ก” เจ้าหญิงผู้สง่างามตอบด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินไปเปลี่ยนชุดแล้วจับกระทะถือตะหลิวขึ้นมาทำอาหารอย่างอารมณ์ดี ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของคนที่เหลือ

ไม่นานสำหรับจำนวนเท่ากับเหล่ากุ๊กในครัวก็เสร็จสิ้น เธอเชื้อเชิญให้ทุกคนลองชิมดูแล้วตัดสินใจอีกครั้งว่าเธอจะได้โอกาสอยู่ในครัวหรือไม่ ทุกคนหันมองหน้ากันก่อนจะหยิบช้อนขึ้นชิมอาหารหรูหราเบื้องหน้า เพียงกลิ่นพวกเขาก็นํ้าลายสอแล้ว พอได้ชิมคำแรกอาหารที่เหลือก็หมดลงอย่างว่องไว

“อร่อยมากเลย! ไม่เคยกินอะไรอร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย” หัวหน้าพ่อครัวนํ้าตาไหลพราก

ทุกคนชื่นชมเด็กสาวที่หยิบบุหรี่ออกมาจุดสูบอยู่ไม่ไกลทั้งทึ้งทั้งชื่นชม แล้วทุกคนก็มาร่วมกันทำอาหารด้วยกันบ่อยๆ มันกลายเป็นหนึ่งในเรื่องสนุกอันน้อยนิดที่ซันจิได้ทำบนเรือลำนี้ ทุกคนเองก็ชื่นชอบฝีมือการทำอาหารของเด็กสาว ไม่เว้นแม้แต่ฟาเธอร์ของแก๊งที่เอ่ยปากชมออกมาทันทีที่ได้ทานอาหารฝีมือเธอ

ยิ่งระยะทางที่ได้เดินทางร่วมกันเพิ่มมากขึ้น เบจจ์ก็ยิ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในใจเขากำลังก่อเกิดความผูกพัน

เจ้าหญิงของประเทศแห่งวิทยาศาสตร์ บุตรสาวเพียงคนเดียวแห่งตระกูลวินสโม๊คผู้เลือดเย็น ก็คือคนเดียวกับเด็กสาวที่เดินเล่นไปทั่วลำเรือ บ่นว่าเบื่อเพราะไม่มีอะไรทำ แข่งบิลเลี่ยนและโป็กเกอร์กับชายฉกรรจ์หยาบกระด้าง และเข้าครัวทำอาหารเลี้ยงคนที่ลักพาตัวเธอ

บางทีเบจจ์เองก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเธอคนนี้ถึงหนีออกจากตระกูลเชื้อพระวงศ์ของตัวเอง และใช่ชีวิตเยี่ยงสามัญชนกับเพื่อนๆในเมืองเล็กๆที่ห่างไกล

 

 

“นี่เจ้าหญิง ฉันมีเรื่องจะคุยหน่อย”

บ่ายแก่ๆของวันหนึ่งเบจจ์ก็เดินเข้ามาในห้องนักเล่นขนาดใหญ่ ที่พวกลูกน้องของเขาล้อมวงกันเล่นโป็กเกอร์โดยมีซันจินั่งร่วมวงอยู่ด้วย ดูเหมือนตั้งแต่เริ่มเล่นมาเธอจะยังไม่แพ้เลยแม้แต่ครั้งเดียว

“เข้าใจแล้ว” เด็กสาวขานตอบ เธอโยนไพ่ในมือที่โชว์แต้มรอยัลฟรัชลงกลางโต๊ะแล้วเดินตามคาร์โปเน่ แก๊ง เบจจ์ไปติดๆ ท่ามกลางเสียงร้องโวยวายของคนที่เหลือ จับใจความได้คราวๆว่าแพ้อีกแล้วหรอเนี่ย

เบจจ์เดินนำเด็กสาวมาถึงห้องส่วนตัวของเขา ลูกน้องที่เฝ้าหน้าห้องอยู่เปิดประตูให้ฟาเธอร์ของตนได้เข้าไป และเมื่อเด็กสาวเข้าไปในห้องประตูก็ปิดลง ห้องนี้เป็นห้องเดียวที่เธอไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาสำรวจ มันก็ดีไซน์ไม่ต่างกับห้องเธอเท่าไรหรอกแค่ใหญ่กว่าหน่อยเท่านั้น

หนุ่มใหญ่เดินนำเธอไปนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่าง บนโต๊ะมีกระดานหมากรุกไม้สลักลวดลายสวยงามประณีตตั้งอยู่ เบจจ์ผ่ายมือไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามและเด็กสาวก็นั่งลงอย่างไม่อิดออดอะไร

หมากรุกสีขาวอยู่ที่ฝั่งของเบจจ์ มือใหญ่ที่สวมแหวนครบทุกนิ้วชวนให้เด็กสาวคิดไปถึงท่านเซอร์ของเมืองท่าทะเลทราย ขยับเดินหมากพลางพ่นควันซิกการ์ขึ้นไปในอากาศ บรรยากาศสลัวที่ใช้แสงเทียนแทนแสงไฟและเวลาที่ล่วงเข้าใกล้มืดแล้ว ชวนให้ความเงียบที่ยังไม่มีบทสนทนาเกิดขึ้นนี้มาคุขึ้นเล็กน้อย

เด็กสาวขยับตัวหมากฝั่งตัวเอง เลือกจะรอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากบอกธุระมากกว่าเป็นคนถามเอง

“อาณาจักรเจลมาในตอนนี้เคลื่อนพลมาถึงที่เกาะโฮลเค้กแล้ว” หลังจากสลับกันกินเบี้ยไปคนละตัวเบจจ์ก็เกริ่นนำขึ้นมา “และพรุ่งนี้พวกเราเองก็จะไปเทียบท่าที่เกาะโฮลเค้กเหมือนกัน”

“งั้นหรอ…” สีหน้าของซันจิสงบนิ่งแต่ในนัยน์ตานั้นหม่นลงจนสังเกตได้ เธอเดินเบี้ยขึ้นหน้าต่อไป

ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันอีกนอกจากเดินหมากบนกระดานต่อไป กระทั่งท้องฟ้ามืดสนิทลงเกมก็ยังไม่จบลง แล้วในตอนนั้นเองเด็กสาวก็เอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง ปรายสายตาเธอจดจ้องอยู่ตรงที่เขี่ยบุหรี่แก้วที่เต็มไปด้วยก้นซิกการ์และก้นบุหรี่

“ฉันต้องแต่งงาน…ใช่ไหม?”

นํ้าเสียงของเด็กสาวเศร้าสร้อยเหม่อลอยจนน่าใจหาย ภาพนั้นของเด็กสาวที่เบจจ์เห็นทำให้เธอกลายเป็นตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่เขาไม่ชอบใจนัก

“ตามกฎหมายของเกาะโฮลเค้ก คนที่จะแต่งงานได้ต้องมีอายุ 18 ขึ้นไป” เบจจ์ขยับม้าให้เดินหน้าเอ่ยขึ้นแทนคำตอบ

“งั้นหรอ…” สีหน้าเธอไม่ดีขึ้นนัก เด็กสาวขยับม้าให้เดินหน้าเป็นครั้งสุดท้ายเอ่ยเชกเมดออกมาเบาๆ ก่อนลุกเดินออกจากห้องไป โดยไม่ลืมที่จะเอ่ยถาม “งั้นวันนี้ก็มื้อสุดท้ายแล้วสิ อยากรีเควสอะไรไหม?”

เบจจ์มองแผ่นหลังเล็กที่ยังคงตั้งตรงอย่างดื้อรั้นของอีกฝ่าย เอ่ยตอบด้วยอาหารแบบเดียวกับที่ซันจิทำให้เขากินเป็นมื้อแรก แว่วเสียงร้องเหอะขึ้นจมูกของเธอที่เดินจากไปในเวลาต่อมา

หนุ่มใหญ่เงยหน้าขึ้นมองเพดานห้อง พ่นควันซิกการ์ยาวด้วยลมถอนหายใจ…ไม่เคยทำงานอะไรที่ทั้งรู้สึกดีทั้งลำบากใจมากขนาดนี้มาก่อนเลยจริงๆ…

 

……………………………………………………

 

“พี่รู้รึเปล่า ซันจิจะกลับมาแล้วนะ” เสียงทุ้มแสนกวนโอ๊ยดังขึ้น จากเด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีนํ้าเงินแสบตาปัดเป๋ไปด้านหน้าบดบังใบหน้าซีกขวา ผู้นอนทอดตัวเหยียดยาวกดเกมเครื่องจิ๋วอยู่บนโซฟาตัวใหญ่

“อ่า รู้แล้วๆ…แทบรอไม่ไหวแล้วนะเนี่ย อย่าเจอเร็วๆจริงๆ” เด็กหนุ่มผู้ถูกเรียกว่าพี่ไม่ได้หันหน้าที่มีเรือนผมสีแดงปัดเป๋ข้างเดียวกับน้องชายไปมองคู่สนทนา แต่เรียวปากบางของเขาก็ยกขึ้นแทนคำตอบ ในมือนั้นถือหนังสือเล่นหนาเอาไว้เขากำลังยืนอ่านมันอยู่ข้างหน้าต่าง

“แหลว่ะ” แว่วเสียงน้องชายพ่นคำหยาบคาย

“อย่าพูดแบบนั้นสิ นายเองก็คิดถึงเธอไม่ใช่รึไง” พี่ชายหัวเราะร่วนตบท้าย เมื่ออีกคนปฏิเสธเสียงแข็งกลับมา

“ท่าน ‘อิชิจิ’ ท่าน ‘นิจิ’ ได้เวลาแล้วค่ะ”

และก่อนที่สองพี่น้องจะได้พูดอะไรไปมากกว่านั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออก พร้อมสาวใช้ในชุดเมดที่เข้ามาเรียก พี่ชายปิดหนังสือและวางมันลงบนโต๊ะเดินนำออกไปเป็นคนแรก

“รอไม่ไหวแล้ว หึๆ” อิชิจิหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน พลางสะบัดเรือนผมสีแดงของตนเล็กน้อย ขยับแว่นกันแดดให้เข้าที่เข้าทางอีกหน่อย “ไปเจอ ‘น้องสาว’ ของเรากันดีกว่า”

 

………………………………………………….

 

เรือขนาดใหญ่เทียบท่าลงช้าๆที่ท่าเรือจุดหมายปลายทางหลังจากที่ออกเดินทางมาเกือบสองสัปดาห์ ภารกิจส่งตัวเจ้าหญิงของคาร์โปเน่จะจบลงทันทีที่เจ้าหญิงลงจากเรือลำนี้

ซันจิมองเกาะโฮลเค้กจากหน้าต่างภายในห้องนอนของเธอเอง เกาะขนาดใหญ่ที่มีบ้านเรือน ข้าวของต่างๆหรือกระทั่งพื้นถนนล้วนออกแบบ และสร้างออกมาคล้ายคลึงกับขนมหวาน สีหวานแหววทำให้ดูน่ากินราวกับมันเป็นขนมจริงๆ

ประตูห้องถูกเคาะเบาๆสามครั้ง พร้อมเสียงของวีโต้ที่เอ่ยเรียกเธอเช่นทุกๆวัน ไม่รู้ว่าเธอคิดไปเองไหมแต่เสียงเขาดูแผ่วกว่าทุกที

ซันจิมองตัวเองผ่านกระจก เธอเลือกที่จะสวมเสื้อผ้าชุดเดิมในวันแรกที่เธอเข้ามาที่นี่ แค่เสื้อกล้ามสีขาวและกางเกงยีนส์ที่แน่นอนว่ามันถูกซักรีดเรียบร้อย เธอยิ้มให้กับภาพสะท้อนของตัวเองก่อนเดินไปเปิดประตูห้อง

สีหน้าวีโต้ดูไม่ร่าเริงเหมือนทุกวัน แต่เขาก็ยังพูดมุกตลกๆและชื่นชมเรื่องของเจลมาอยู่เหมือนเคย เขาเดินมาส่งเธอที่หน้าประตูทางออกของเรือ ลูกน้องทุกคนของเบจจ์ตั้งแถวเต็มสองข้างทางเหมือนทหารในราชวัง สีหน้าทุกคนไม่ได้นิ่งขึงเหมือนทุกที แต่มันแอบแฝงไปด้วยความเศร้าเล็กๆ ไม่เว้นแม้แต่กุ๊กในครัวที่แอบมองออกมาจากประตูห้องไม่ไกล

เด็กสาวมาหยุดอยู่ที่หน้าประตู ที่ด้านหน้านั้นแสงสว่างของเช้าวันใหม่กำลังรอให้เธอออกไปสัมผัส ซันจิหันกลับมามองทุกคนที่ร่วมเดินทางกันมา ถึงจะไม่ชอบกันเท่าไรแต่ก็ไม่ได้เกลียดกันเหมือนตอนแรก ความผูกพันเล็กๆเติบโตในใจทุกคนแม้ว่ามันจะเป็นเวลาแค่ไม่นาน เรื่องนี้ก็พอจะพิสูจน์ได้บ้างว่าถึงจะเป็นมาเฟียที่คนทั้งโลกกล่าวขานกันว่าเลือดเย็น ก็มีหัวจิตหัวใจกันหมดทุกคน

เจ้าหญิงที่ไม่ได้สวมชุดราตรีเหมือนทุกวันทำให้เธอดูเหมือนเด็กสาวทั่วๆไป มากกว่าเชื่อพระวงศ์ชั้นสูงมากมาย และเธอก็ยิ้มให้ทุกๆคนอย่างจริงใจ

“ไว้มาเล่นโป็กเกอร์กันใหม่นะ” นั่นอาจแทนคำบอกลา เพราะทุกคนในที่นี้ก็รู้ดีว่าต่อจากนี้ สามัญชนชั้นตํ่าอย่างพวกเขา ไม่อาจไปเกลือกกลั้วกับชนชั้นสูงได้อีกแล้ว…

เบจจ์เดินนำเด็กสาวลงจากเรือ แล้วเธอก็หันหลังเดินหายลับไปจากสายตาของทุกคน ลมเย็นพัดเรือนผมสีทองไปด้านหลังเป็นสิ่งสุดท้ายให้ทุกคนได้เห็น

เกาะโฮลเค้กมีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติเดินปะปนกันเต็มไปหมด ดูเหมือนบิ๊กมัมจะต้องการสร้างอาณาจักรที่รวมผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกเอาไว้ด้วยกัน แต่ซันจิไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก

“นั่นรถม้าของเกาะ มันจะพาเธอไปส่งที่เจลมาและหน้าที่ของฉันก็จะจบลงตรงนี้” เบจจ์พยักพะเยิดหน้าไปยังรถม้าสีขาวที่จอดรออยู่ที่ด้านล่าง เขามาส่งเธอถึงแค่ที่บันไดขั้นสุดท้ายเท่านั้น

“หวังว่าเราจะไม่ได้พบกันในงานแบบนี้อีกนะ” ซันจิเอ่ยขึ้นเมื่อคนขับรถม้าเดินมาเปิดประตูให้เธอ “ยังไงก็ไปเยี่ยมภรรยาตัวเองก่อนออกเรือด้วยล่ะ เธอกับลูกชายคงคิดถึงนายแย่แล้ว”

ซันจิทิ้งท้ายพร้อมกับรถม้าที่เคลื่อนตัวออกไปจากจุดนั้น โดยไม่ได้มีใครให้ความสนใจกับสีหน้าตกใจของเจ้าพ่อมาเฟียแก๊งเสียเท่าไร

“หึ! ผู้หญิงฉลาดเนี่ยน่ากลัวจริง” ฟาเธอร์เบจจ์หัวเราะจนแทบสำลักควันซิการ์ เขาพ่นมันออกมายาวๆแล้วเดินเข้าไปในเกาะโฮลเค้กอย่างอารมณ์ดี

 

 

รถม้าคันสวยเคลื่อนตัววนรอบเกาะขนาดใหญ่นี้ไปเรื่อยๆไม่เร่งรีบอะไร วิวทิวทัศน์บ้านเรื่อยสีลูกกวาดไม่ได้ทำให้หัวใจที่วุ่นวายเหมือนเจอพายุของซันจิสงบลง แม้ว่าเธอจะเก็บมันเอาไว้ภายใต้ท่าทีนิ่งสงบก็ตาม

เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงรถม้าก็หยุดลง ประตูเปิดออกเมื่อคนขับลงมาเปิดให้ เบื้องหน้าของเธอคือส่วนที่เป็นป่าของเกาะโฮลเค้ก และห่างออกไปไม่ไกลก็คือทะเลที่เจลมาเทียบท่าอยู่

เด็กสาวมองไปยังอาณาจักรเหล็กเบื้องหน้า ปรับลมหายใจให้สงบลงก่อนก้าวตรงไปยังทางเดินที่ทอดเชื่อมระหว่างสองอาณาเขตเอาไว้ รถแมวหรือรถลากที่ใช้แมวซึ่งถูกปรับแต่งพันธุกรรมให้ตัวใหญ่ และแข็งแรงมากพอจะลากรถได้ด้วยตัวเดียวจอดรอเธออยู่เบื้องหน้าแล้ว

“ขอต้อนรับกลับบ้านครับคุณหนู” เสียงทุ้มนุ่มแบบคนมีอายุดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงโย่งในสูททรงพ่อบ้านสีดำที่โค้งให้เธอ

“ ‘บรู๊ค’ ” ซันจิเบิงตากว้างอย่างดีใจ

เด็กสาวพุ่งเข้าไปกอดพ่อบ้านประจำตัวของเธอเมื่อสมัยก่อนทันที ได้ยินเสียงหัวเราะเป็นเอกลักษณ์ของคุณพ่อบ้านอายุกว่าเจ็ดสิบปี ที่ยังไว้ผมทรงเอฟโฟลเหมือนแต่ก่อนไม่มีผิดอยู่ข้างหู ความกังวลในใจก็ดูจะเบาบางลงอย่างน่าประหลาด

“โยะโฮะโฮะโฮะ คิดถึงคุณหนูเช่นกันครับ” บรู๊คแย้มยิ้มใจดีออกมา

เด็กสาวขึ้นไปนั่งบนรถแมวแล้ว ทั้งสองคนคุยกันอย่างสนุกสนานในตอนที่บรู๊คลูบเบาๆที่แผงคอเจ้าเหมี้ยวตัวโตให้ออกเดิน ดูเหมือนระยะเวลากว่าสิบปีที่เธอออกจากบ้านไป อะไรหลายๆอย่างก็ดูจะพัฒนาก้าวหน้าไปมากขึ้นเยอะผิดหูผิดตาไปหมด

“หลายปีเลยนะครับที่ไม่ได้เห็นหน้าคุณหนู เติบโตขึ้นมาสง่างามเหมือนท่านหญิง ‘โซระ’ ไม่มีผิด” บรู๊คมองเด็กสาวที่ทำสีหน้าเศร้าอย่างไม่ปิดบัง

“ถ้าฉันเข้มแข็งได้แบบท่านแม่ก็คงจะดี…” เสียงใสพึมพำ “จริงสิ ไม่ได้ฟังเพลงของบรู๊คตั้งนานคิดถึงสุดๆไปเลย ไว้เล่นให้ฉันฟังหน่อยจะได้รึเปล่า?”

“แน่นอนครับ” บรู๊คไม่ว่าอะไรเมื่อเด็กสาวเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่อง

สายลมแผ่วเบาพัดผ่านบรรยากาศเงียบงันระหว่างทั้งสองคน เด็กหญิงตัวน้อยในวันวานกลายเป็นเด็กสาวสง่างาม ที่กำลังจะกลายเป็นเจ้าสาวในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าแล้ว คิดๆไปเวลาก็ดูจะเดินเร็วไปจนน่าใจหาย

“นี่…โกรธรึเปล่า ที่ฉันไปโดยไม่ลา…” ซันจิหันหน้าไปอีกทางทำให้ชายชราทว่ายังแข็งแรงดีนั้นมองไม่เห็นสีหน้าของเธอ

เขายิ้มและหัวเราะเหมือนทุกที

“โยะโฮะโฮะโฮะ ไม่โกรธหรอกครับผมเข้าใจคุณหนูดี เพราะงั้นไม่ต้องร้องไห้หรอกนะครับ”

นํ้าตาหยดใสๆไหลอาบใบหน้าสวย เด็กสาวหันใบหน้าเปื้อนคราบนํ้าตาที่เริ่มเบะเหมือนเด็กๆกลับมาหา ก่อนจะพุ่งเข้าไปกอดคนที่เธอรักเหมือนครอบครัวคนหนึ่งร้องไห้โฮ จนคนปลอบอดหัวเราะออกมาไม่ได้

เด็กน้อยของเขาไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ยังคิดถึงความรู้สึกของคนอื่นมากกว่าตัวเอง และอ่อนโยนกว่าใครเป็นไหนๆ…

ในวันที่วินสโม๊ค จั๊ดรู้ว่าลูกสาวนั้นหนีออกจากบ้านไป เขาไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าการประกาศข่าวลวง ให้คนทั้งอาณาจักรรู้ว่าเธอป่วยหนักจนไม่สามารถออกจากปราสาทไปไหนมาไหนได้ แต่ก็ไม่เคยออกตามหา ไม่แม้แต่จะบ่งบอกว่าเขาสนใจเธอ

เรย์จูดูเหมือนจะรู้อะไรบางอย่างแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร และยังทำตัวเป็นปกติ บรู๊คจึงไม่คิดที่จะไปซักไซร้เด็กชายที่เพิ่งสูญเสียมารดาไป

บรู๊คเป็นพ่อบ้านคนเก่าคนเเก่ที่ดูแลตระกูลวินสโม๊คมาตั้งแต่สมัยของวินสโม๊ค โซระ ราชินีแห่งวินสโม๊ค มารดาของซันจิและพี่น้องอีกสี่คนยังมีชีวิตอยู่ เธอเป็นหญิงสาวผู้สดใสราวกับดอกไม้บริสุทธิ์ท่ามกลางเครื่องจักรกลเย็นชืดไร้จิตใจ

เธอเหมือนแสงสว่างที่ฉุดรั้งให้ราชาของวินสโม๊คไม่หลงมัวเมาถลำลึกไปกับโลกใต้ดิน เขาค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปกลายเป็นคนที่อ่อนโยนขึ้นมาก หลังจากที่ได้แต่งงานกับเธอ ช่วงเวลานั้นเจลมาเต็มไปด้วยความสงบสุข เสียงแซ่ซ้องยินดีกู่ก้องไปทั่วงานเลี้ยงหลายราตรี กระทั่งโซระตั้งครรภ์

ลูกชายคนแรกถือกำเนิดขึ้นมองโลกพร้อมดวงตากลมโตสีฟ้านํ้าทะเลและเรือนผมสีชมพู จั๊ดดูมีความสุขมากและหลังจากนั้นไม่นานหญิงสาวก็ตั้งครรภ์อีกครั้ง คราวนี้เธอได้ให้กำเนิดเด็กแฝดสี่ ซึ่งสามในสี่เป็นเด็กชายสุขภาพแข็งแรงผมสีแสบตาทั้งแดง นํ้าเงินและเขียว และลูกคนสุดท้ายคือสิ่งที่ปลุกความทะเยอทะยานของจั๊ดให้กลับมาอีกครั้ง…

เด็กหญิงเรือนผมสีทอง นัยน์ตาสีอความารีนกลมโต ตัวเล็กผอมบาง ผิวขาวและอ่อนแอ…

 

ลูกของวินสโม๊คไม่สมควรเป็นเด็กผู้หญิง!

 

และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง ลูกชายทั้งสี่คนของวินสโม๊คถูกปรนนิบัติอย่างดีเฉกเช่นที่เจ้าชายสมควรได้รับ และพวกเขาก็ฉายแววความสามารถต่างๆตั้งแต่ยังเด็ก ทว่านิสัยของพวกเขาไม่ได้ดีตามความสามารถเสียเท่าไร แม้ว่าพี่ชายคนโตอย่างเรย์จูจะไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าเพียงมองและหัวเราะน้อยๆในลำคอ แต่กับพี่น้องที่เหลือทั้งสามไม่ได้เป็นอย่างนั้น ในขณะที่ซันจิบุตรสาวเพียงคนเดียวได้รับการดูแลที่เลวร้าย…

ห้องนอนของพี่น้องทุกคนเป็นห้องเดี่ยวขนาดใหญ่ที่คฤหาสน์หลังใหญ่ แต่ซันจิต้องอาศัยอยู่ในห้องใต้หลังคาเล็กๆ ที่มีแมลงตัวเล็กๆและหนูอาศัยอยู่ไม่น้อย บางครั้งที่ฝนตกก็จะมีนํ้าซึมลงมาจากหลังคาที่พุพัง

พี่น้องทุกคนได้เรียนหนังสือกับครูที่เก่งกาจที่สุดในอาณาจักรตั้งแต่ยังไม่เข้าโรงเรียน ในขณะที่เด็กหญิงไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากห้องนอนตอนมีการเรียนการสอน

และอีกหลายๆอย่างที่แสดงความสองมาตรฐานออกมาอย่างชัดเจน…

ส่วนโซระหลังจากที่เธอคลอดแฝดทั้งสี่คนแล้ว ร่างกายของเธอก็อ่อนแอลงเป็นอย่างมาก มากจนไม่สามารถขยับตัวออกจากเตียงของเรือนพยาบาลได้ แต่เธอก็ยังคงแย้มยิ้มอย่างสดใสแม้ว่าตัวเธอจะรู้ดีว่าเวลาของตัวเองเหลืออยู่ไม่มากนัก

จั๊ดมาเยี่ยมเธอไม่บอกนัก เขามักครํ่าเครียดอยู่กับงานและการฝึกลูกๆอยู่เสมอ เด็กๆเองก็มาเยี่ยมเธอไม่บอกนักเช่นกัน ยกเว้นเอาไว้ก็แต่เรย์จูและซันจิเท่านั้นที่มาหาเธอแทบทุกวัน แม้ว่าเธอจะรู้ว่าการที่พวกเด็กๆออกมาเยี่ยมเธอจะทำให้จั๊ดโกรธ แต่เธอก็ยังดีใจที่ลูกๆของเธอยอมถูกโกรธเพื่อมานั่งอยู่ข้างเธอ ในห้องพยาบาลที่อบอวลไปด้วยกลิ่นยาฆ่าเชื้อ

บรู๊คเฝ้ามองภาพเช่นนี้มาตลอดเคียงข้างนายหญิงของเขา มองทั้งสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขของเธอยามที่ได้กินอาหารฝีมือของซันจิ ที่แม้มันจะไม่อร่อยเลยแม้แต่น้อย เธอก็มักจะกินมันจนหมดและชื่นชมว่าบุตรีของเธอเก่งมากแค่ไหน เฝ้ามองเธอสอนให้เด็กหญิงตัวน้อยอ่านหนังสือ และเฝ้ามองจนกระทั่งวาระสุดท้ายของเธอ…

‘ดูแลเธอแทนฉันได้ไหม?’ นั่นคือสิ่งที่เธอพูดกับเขาเป็นคำสั่งลา

ในช่วงลมหายใจสุดท้ายของเธอนั้น ช่างน่าเศร้านักที่ซันจิก็อยู่ร่วมไปกับเขาด้วย…ไม่ว่าจะผ่านชีวิตมามากแค่ไหน ความตายก็ยังน่าเศร้าไม่เปลี่ยนแปลง บรู๊คกลั้นนํ้าตาที่กำลังจะไหลออกมานึกดีใจที่ตนสวมแว่นกันแดดสีดำ เพราะแค่เสียงร้องไห้ของเจ้าหญิงแห่งวินสโม๊คก็มากเพียงพอแล้ว ที่จะบอกว่าเจ้าของเสียงร้องที่แผดจ้าและร่างเล็กที่กอดร่างไร้วิญญาณของผู้เป็นแม่ไว้ กำลังใจสลายมากแค่ไหน

บรู๊คในตอนนั้นทำอะไรไม่ได้มากนอกจากดึงเด็กหญิงตัวน้อยเข้ามากอดเอาไว้ เขาจะเป็นคนดูแลเด็กหญิงผู้อ่อนโยนคนนี้เอง เหมือนที่เขาทำมาตลอด

แต่เขาไม่รู้เลยว่าเสียงร้องไห้ในวันนั้นคือฟางเส้นสุดท้ายของเจ้าหญิงแห่งวินสโม๊ค แล้วเช้าวันถัดมาเธอก็ได้หายตัวไป

ความรู้สึกในตอนนั้นคือความโหวงเหวงและโศกเศร้า แต่ในขณะเดียวกันก็โล่งอก บรู๊คพาตัวเองไปหยุดอยู่ที่ป้ายหลุมศพที่สลักชื่อของโซระ ในมือมีไวโอลีนคู่ใจและเขาก็บรรโลงบทเพลงรีเควี่ยมจังหวะเนิบนาบเป็นการส่งวิญญาณในแบบของเขา เอ่ยคำขอโทษเพียงในใจถึงบุคคลผู้ล่วงลับ ที่ไม่สามารถดูแลเด็กหญิงตัวน้อยได้อย่างที่ให้คำมั่นไว้ รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เรย์จูเดินมานั่งข้างๆ

บุตรชายคนโตเจ้าของเรือนผมสีคอรอลนั้น ไม่ทำอะไรไปมากกว่ามองป้ายหลุมศพและฟังบทเพลงของเขา และทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดคุยถึงการหายตัวไปของซันจิ แต่แค่สบตากันก็พอจะเข้าใจได้ไม่ยากเย็นเลยสักนิด

 

 

รถแมวเคลื่อนเข้ามาถึงอาณาเขตปราสาทที่มีรั้วสูงล้อมรอบแล้ว บรู๊คดึงตัวเองกลับจากภวังค์ความคิดในอดีต ซันจิห้องไห้จนหลับไปแล้ว ใจจริงก็อยากจะให้คุณหนูที่จู่ๆก็โดนพาตัวมาได้พักผ่อนอีกสักหน่อย แต่เขาก็จำเป็นต้องปลุกเธอให้ตื่นเมื่อมองเห็นประตูปราสาทอยู่ไม่ไกลแล้ว

 

 

 

ขอโทษที่หายไปนานนะคะ เราไม่ได้ตั้งใจแต่การบ้านรุมเร้าจริงๆ

ปีนี้จะเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ทุกอย่างก็เลยวุ่นวายมากๆ

แต่เราไม่ทิ้งนิยายแน่นอนนะคะ เกี่ยวก้อยสัญญาเลย!

ถ้าชอบก็กดไลค์และคอมเมนท์ให้กำลังใจกันได้นะคะ ^^

ใส่ความเห็น