thorki

[Thorki] : Soft Scarf

หัวข้อ Week 03 “Walkin’ in a Winter Wonderland” : ผ้าพันคอ

P.S. เข้าร่วมกิจกรรม #จะHeroไปไหน ในหัวข้อ Week 03

 

ปลายปีหลังจากฤดูกาลทั้งสามผ่านพ้นไป ความกดอากาศตํ่าก็เคลื่อนคล้อยเข้ามาแทนที่กลิ่นไอสายฝนและกลีบดอกไม้ที่ร่วงโรย ความหนาวเย็นค่อยๆแพร่กระจายสู่ประเทศต่างๆทั่วโลก ผู้คนเองก็เริ่มที่จะเปลี่ยนแฟชั่นการแต่งตัว เสื้อโค้ทตัวหนาและเสื้อผ้าในคลังหน้าหนาวเองก็ทยอยถูกหยิบจับออกมาสวมใส่อีกครั้ง เหมือนร้านรวงและดีไซน์เนอร์ที่รีบเร่งผลิตหนึ่งในปัจจัยสี่ออกมาให้ท่วงทันเทศกาล

ด้วยความที่หน้าหนาวแบบนี้มักจะตรงกับช่วงปลายปีที่มีเทศกาลส่งท้ายปีเก่า และเทศกาลอวยพรรื่นเริงต่างๆมากมาย บริษัทหลายๆแห่งก็มักจะยกปลายปีเป็นช่วงวันหยุดไปอย่างเต็มอกเต็มใจ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็เป็นบริษัทของชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ เจ้าของเรือนผมสีทองตัดสั้นที่ค่อนไปทางนํ้าตาลเสียมากกว่า ผู้กำลังหยิบกุญแจห้องออกมาไขประตูเปิดอย่างร่าเริง ลมหายใจที่ผ่อนออกจากร่างกลายเป็นไอสีขาว สนับสนุนกริยาที่ซุกมือลงกับกระเป๋าเสื้อโค้ททั้งที่เจ้าตัวเองก็มีร่างกายสูงใหญ่กำยำ ว่าอากาศมันหนาวเย็นมากแค่ไหน

“กลับมาแล้ววว” เสียงทุ้มตํ่าของ ‘ธอร์ โอดินซัน’ ดังกังวานไปทั่วห้องพักขนาดกลาง

โค้ทถูกถอดแขวนไว้ที่แขวนเสื้อข้างประตู ฮีทเตอร์อุณหภูมิกำลังดีที่เปิดเอาไว้ทำให้ทั้งห้องกลายเป็นเหมือนเตียงนอนที่ไม่น่าลุกในยามเช้าของฤดูร้อน ทว่าไม่มีเสียงใดๆตอบรับกลับมา…

ชายหนุ่มเดินวนไปรอบห้องสำรวจจากห้องนอน ห้องนํ้า และมาจบลงที่ห้องครัว แต่ก็ไร้วี่แววคนที่ตนตามหา นอกจากกระดาษโพสต์อิทสีเหลืองดาดๆที่แปะอยู่บนประตูตู้เย็นสองฝา พร้อมข้อความสั้นๆที่ถูกเขียนตัวบรรจงงดงามด้วยหมึกซึม

 

‘วันนี้กลับดึก ทานข้าวเลยนะทำไว้ให้แล้วในตู้เย็นอุ่นเอา’

 

รอยยิ้มกว้างจางหายไปจากใบหน้าคมคายประปรายด้วยหนวดเคราชวนให้คิดถึงหมีตัวโตๆ เสียงถอนหายใจแว่วมาให้ได้ยิน มือใหญ่หยิบเจ้ากระดาษแผ่นเล็กเข้ามาใกล้ตัว อ่านทวนข้อความซํ้าๆเหมือนไม่เข้าใจความหมายของมันเท่าไรนัก ก่อนจรดริมฝีปากบางลงกับตัวอักษรสีนํ้าเงินเข้มแผ่วเบา มือใหญ่เปิดตู้เย็นหยิบเอาเบียร์กระป๋องใหญ่ออกมาและหมุนตัวเดินออกจากห้องครัวไป

ไหล่หนาพิงกับกรอบหน้าต่างไม้สีขาว ดวงตาคู่สวยสีนภากว้างใหญ่มองสำรวจออกไปภายนอกกระจกใสที่ขึ้นฝ่าจางๆ ผู้คนมากมายต่างกำลังใช้ชีวิตกันอยู่อย่างรีบเร่ง ต่างคนต่างเดินสวนกันไปมาไม่ต่างกับมดงานที่ก้มหน้าทำงานงกๆโดยไม่ปริปากเอ่ยถามอะไรต่อราชินีของมัน และธอร์เองก็เป็นหนึ่งในนั้น…หรืออย่างน้อยในยามปกติที่งานรัดตัว และสภาพรอบตัวเร่งรัดให้เขาต้องยุ่งกับทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ตลอดเวลา จนบางครั้งก็หลงลืมที่จะมองอะไรใกล้ตัว

ห้องของเขากว้างขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?

ห้องของเขามันเงียบเหงาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?

นานแค่ไหนแล้วที่ได้รับโพสต์อิทแบบนี้ โดยที่ไม่ได้เห็นหน้าเจ้าของมัน?

มือใหญ่แปะเจ้ากระดาษใบน้อยลงกับบานกระจกตรงหน้า ปรับโฟกัสกลับมาที่ข้อความสั้นๆที่ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกวูบโหวงในอก เบียร์กระป๋องใหญ่หมดไปแล้วตั้งแต่การกระดกครั้งที่สอง ทว่าธอร์ก็ยังไม่ขยับกายไปไหนแม้ตรงข้างหน้าต่างจะยิ่งทำให้รู้สึกหนาวจนขนลุกชันก็ตาม ในหัวที่ ‘ใครอีกคน’ มักตราว่าไม่ค่อยจะได้ใช้มากนักกำลังทำหน้าที่ของมันอย่างหนักหน่วงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

ใครอีกคนหรือถ้าจะให้เจาะจงก็เป็นทั้งอดีตน้องชาย และคนรักในปัจจุบันเป็นนักเขียนส่วนเขาทำงานบริษัท ด้วยหน้าที่การงานที่ต่างกันทำให้เวลาไม่ค่อยจะตรงกันนัก แต่ด้วยความที่ใครอีกคนที่ว่าเป็นคนไม่ชอบออกไปพบป่ะผู้คนมากนัก ทุกครั้งยามเปิดประตูหน้าออกก็จะได้พบเจ้าของใบหน้าขาวเนียนล้อมกรอบด้วยเรือนผมยาวประบ่าสีรัตติกาล แอบซ่อนดวงตาสีมรกตเอาไว้เบื้องหลังแว่นตากรอบเหลี่ยมเรียวบาง ผู้ขยันขยับยกยิ้มเจ้าเล่ห์แสนน่ารักใส่เขาไม่เว้นวัน ธอร์ต้องเผลอคิดถึงอีกฝ่ายเสมอในยามทำงาน ว่าวันนี้เจ้าตัวยุ่งของเขาจะสร้างเรื่องอะไรมาให้ปวดหัวอีก

ถึงจะแสร้งถอนหายใจและทำหน้าดุใส่เจ้าแมวดำตัวสวย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันช่างเป็นสิ่งที่เขารอคอยเหลือเกินในแต่ละวัน

นัยน์ตาคู่คมเบนกลับเข้ามาในห้อง ข้าวของต่างๆถูกจัดอย่างเรียบร้อยเป็นที่เป็นทางตามวิสัยเจ้าระเบียบของคนที่ใช้เวลาอยู่ในห้องนี้มากกว่าเขา ก่อนที่มันจะไปสะดุดอยู่ที่ก้อนไหมพรมกลมๆสีแดงสดใสที่มุมหนึ่งของโซฟา ธอร์มองมันพลางเลิกคิ้วแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรไปมากกว่าการถอนหายใจอีกรอบ…แรกเริ่มเดิมทีความสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสองก็ยุ่งเหยิงไม่ต่างกับก้อนไหมพรม

ทั้งระยะห่างที่แสนยาวไกลและปมไหมที่ขวางกั้นเสมือนคำว่าพี่น้องที่เคยคิดว่าเป็นมาชั่วชีวิต ก่อนที่ทุกอย่างจะถูกคลี่คลายลงด้วยความจริงที่ในตอนแรกเขาเองก็รู้สึกราวกับถูกตบหน้าฉาดใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันมันก็เสมือนสิ่งที่มาการันตีความว้าวุ่นที่เกินเลยไปจากสถานะที่พึงเป็นของเขาในยามนั้น หลังจากนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องยากเลยที่เขาจะสารภาพความในใจออกไปให้ใครอีกคนที่กำลังคิดถึงอยู่อย่างสุดหัวใจอย่างตรงไปตรงมา และหลังจากนั้นมันก็เป็นความรู้สึกในช่วงที่ดีที่สุดเลย…ยามที่น้องชายเพียงในนามของเขาแย้มยิ้มจริงใจออกมา พร้อมกับคำตอบรับในแนวทางเดียวกัน

ปมไหมยุ่งเหยิงที่เคยคิดว่าตนและอีกฝ่ายหยิบกรรไกรขึ้นมาตัดมันซํ้าแล้วซํ้าเล่าจนไม่อาจจะผูกติดกลับไปเป็นเช่นเดิมได้อีก แท้จริงแล้วต่างฝ่ายต่างก็พยายามแก้มันออกอย่างสุดความสามารถ แล้วในที่สุดอุปสรรคขวางกั้นก็หายไปให้มือสองคู่ได้สัมผัสกันแนบแน่นเช่นครั้งวัยเยาว์ ทว่าต่างด้วยความลึกซึ้งในแววตาและจิตใจ

ธอร์ถอนหายใจยาวๆ ทิ้งตัวลงนอนพังพาบกับโซฟาตัวนุ่น ในหัวยังคงมีแต่ภาพของชายหนุ่มผมดำในอิริยาบถต่างๆวนเวียนไปมาเหมือนโทรทัศน์เครื่องเก่าที่เล่นได้แต่เทปที่ไม่ได้กรอกลับ เปลือกตาบางปรือปิดลงอย่างอ่อนล้า ความเงียบทำให้ความเหงาที่เหมือนจะกลายเป็นของคู่กันไปแล้วคืบคลานเข้ามาหาจนหน่วงไปหมดทั้งใจ กระทั่งพ่อหมีตัวโตอดคิดไปเสียไม่ได้ว่าการที่โลกิต้องอยู่ในห้องคนเดียวทั้งวัน และไม่ว่าอีกฝ่ายจะรอเขากลับมาหรือไม่ ธอร์ก็เริ่มจะรู้สึกขึ้นมาแล้วว่าการรอคอยโดยไม่รู้เลยว่ามันจะนานแค่ไหนมันช่างแสนทรมาน

 

ถ้าความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงนี้มันไม่ได้ถูกแก้ไขจริงๆล่ะ?

การที่นายหายไปแบบนี้จะถือเป็นคำตอบแล้วใช่รึเปล่า?

 

…………………………………………..

 

“วันนี้อยู่เย็นจังนะ ‘โลกิ’ ไม่รีบกลับจะดีหรอ? เดี๋ยวพ่อหมีที่ห้องก็เหงาแย่หรอก” สำเนียงเสียงที่ค่อนไปทางคนมีอายุเอ่ยล้อเลียนออกมาด้วยท่าทีเอ็นดู

เจ้าของแฟชั่นลํ้าโลกสีสันฉูดฉาดในโทนเหลือง ซึ่งพยายามคลุมให้มันอ่อนลงหรือเสริมให้มันตัดกันมากขึ้นของผ้าสีฟ้า ชวนให้คิดถึงเสี่ยเลี้ยงเด็กที่ชอบนั่งตบตัก ยักคิ้ว กระดิกนิ้วเรียกสาวมาเอาใจตามผับบาร์เริงสำเนียงเสียงปาร์ตี้ มากกว่าการเป็นเจ้าของร้านขายไหมพรมได้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน เจ้าตัวเท้าแขนภายใต้แขนเสื้อตัวยาวลงกับเคาน์เตอร์ หลิ่วตาให้ชายหนุ่มร่างโปร่งในเสื้อคอเต่าสีดำที่หรี่ตาถอนหายใจออกมา แสดงความเอือมระอาอย่างไม่ปิดบัง

“เงียบน่าหมอนั่นทำงานกลับดึกจะตาย แล้วนี่มันก็ใกล้วันแล้วฉันอยากทำให้เสร็จก่อนที่เจ้าหมีโง่นั่นจะเริ่มจับสังเกตได้ ถึงจะทึ่มแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้อะไรหรอกนะ…” นํ้าเสียงนุ่มติดสำเนียงชาวเมืองผู้ดีตอบกลับโดยไม่หยุดงานในมือ “ว่าแต่ตาแก่เถอะช่วงนี้ไม่ออกไปปาร์ตี้หรือไง? ฉันปิดร้านให้ได้อยู่แล้วน่าไม่เห็นต้องมานั่งเฝ้าเลย”

“พูดแบบนั้นเป็นห่วงฉันหรอ? น่ารักจังเลยน้า สนใจมาชงเหล้าให้ป๋าที่ห้องไหมล่ะจ๊ะ” คนพูดขยิบตาให้ตบท้าย

‘โลกิ ลาฟฟี่ซัน’ ถอนหายใจยาวส่ายหน้าพรืดจนใจ อดเสียใจเล็กๆไม่ได้ที่ดันไปแสดงท่าทีเห็นอกเห็นใจอีกฝ่ายออกไป ก่อนก้มหน้าก้มตาสานต่อสิ่งที่ตนทำอยู่ให้เสร็จสิ้น มือขาวขยับเจ้าแท่งไม้เรียวยาวทั้งสองอันที่ถูกเชื่อมกันเอาไว้ด้วยเส้นไหมพรมซึ่งถูกถักทอให้ยาวระโยงรยางค์อย่างประณีตบรรจง ใบหน้าติดไปทางสวยแสดงออกถึงความตั้งใจโดยเฉพาะในนัยน์ตาคู่สีมรกตเม็ดงาม ชวนให้คนที่มองมาแทบจะละสายตาไปเสียไม่ได้

และนั่นก็เป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ตาแก่ผู้ถูกกล่าวอ้าง หรือ ‘แกรนมาสเตอร์’ ตามแต่จะเรียกขานไม่ออกไปรํ่าสุรานารีในช่วงนี้ด้วยเช่นกัน

ก็แหม ใครมันจะไปอยากพลาดที่นั่งพิเศษข้างเวทีสำหรับจับจ้องคนงาม แสนหยิ่งและช่างน่าหลงใหลแบบนี้กัน ถึงจะไม่มีสิทธิ์คิดหวังอะไรไปมากกว่านั้น แต่หยอดไปเรื่อยๆก็กระชุ่มกระชวยหัวใจให้รู้สึกย้อนกลับไปสมัยวัยละอ่อนได้เป็นอย่างดี ชายหนุ่ม(เหลือน้อย)จึงไม่คิดห้ามปากตัวเองเลยแม้แต่ครั้งเดียว

เวลาเลื่อนคล้อยไปอย่างช้าๆ รู้สึกตัวอีกทีท้องฟ้าก็มืดมากเสียแล้ว นาฬิกาโบราณบนข้างฝาที่ทาสีตัดกันเหมือนเจ้าของไม่เคยเรียนการจัดแสงสีมาก่อน หรือไม่ก็อาจจะแฟชั่นลํ้าเกินไปตามการแต่งกายตีบอกเวลาเกือบๆตีหนึ่ง โลกิเก็บงานเป็นครั้งสุดท้าย รวบห่วงไหมแต่ละห่วงออกจากไม้นิตผูกประดับด้วยไหมพรมที่ถักเป็นเปียเล็กๆอย่างตั้งใจ เพียงไม่นานเจ้าสิ่งที่เขาเพียรพยายามทำมานานเกือบสามอาทิตย์ก็เสร็จสิ้นสมบูรณ์อย่างน่าพอใจ รอยยิ้มพออกพอใจและภูมิใจอยู่ในทีแย้มแต้มประดับที่มุมปากสีชมพูเรื่อ

ข้าวของที่กองเกลื่อนถูกกวาดลวกๆใส่กระเป๋าผ้าที่วางกองอยู่ไม่ไกล ชายหนุ่มร่างเพรียวหยิบเสื้อโค้ทตัวยาวสีดำสนิทขึ้นมาสวมรีบร้อน วันนี้เขาใช้เวลานานมากเกินไปป่านนี้เจ้าพี่โง่ของเขาคงกลับถึงบ้านแล้ว อดเป็นห่วงไปเสียไม่ได้ว่าอีกฝ่ายจะกินอะไรรึยัง? จะเห็นข้อความที่เขาแปะเอาไว้ไหม? หรือ…จะเป็นห่วงเขาอยู่รึเปล่า?

จริงๆก็อาจจะไม่ก็ได้ ก็พี่ชายเขาโง่สมกับที่เขาประนามว่าเจ้าพี่โง่อย่างไร้ที่ติเลยนี่นะ แต่ก็เพราะแบบนั้น…เพราะพี่ชายที่ทำตัวน่ารักแบบโง่ๆอย่างนั้น ก็ทำให้ตัวเขา ‘รัก’ เจ้าตัวเสียมากมายเหลือเกินอย่างไม่อาจถอนตัวได้อีกต่อไป

แค่คิดถึงใบหน้าที่แย้มยิ้มสดใสราวกับดวงอาทิตย์ในวันฟ้าเปิดของหน้าร้อนอันอบอุ่น หัวใจก็พาลเต้นแรงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

 

อยากรีบกลับไปเจอเร็วๆ…

 

“ตาแก่ฉันกลับก่อน…” เสียงหวานขาดห้วงลงเมื่อหันไปเจอเจ้าของร้านที่ฟุบหลับลงไปกับเคาน์เตอร์กรนเสียงแผ่วออกมาตามจังหวะลมหายใจเข้าออก

เจ้าของเรือนผมยาวประบ่าส่ายหน้าพรืดจะขำก็ขำได้ไม่เต็มเสียงนัก ใบหน้าขาวเบื้อนไปมองที่หน้าปัดนาฬิกาก่อนเบื้องกลับมาที่แกรนมาสเตอร์ ใคร่ครวญครู่หนึ่งก่อนถอดเสื้อโค้ทออกห่มให้ตาแก่สิงห์ปาร์ตี้ ก้มลงจรดริมฝีปากลงที่ข้างแก้มซึ่งประดับริ้วรอยตามวัยอันก้าวเดินไปตามกาลเวลา หยิบกระดาษโน้ตใกล้มือเข้ามาจรดปากกาหมึกซึมประจำตัว ตวัดสวยงามเป็นถ้อยคำสั้นๆ แสดงความขอบคุณสำหรับสามอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ ก่อนคว้ากระเป๋าผ้าเดินออกจากร้านไป

โดยไม่ทันได้สังเกต หรือไม่ก็ไม่ใส่ใจรอยยิ้มกรุ่มกริ่มที่ยกขึ้นจากมุมปากคนหลับไม่จริง มือหยาบย่นขยับหยิบปกเสื้อตัวนุ่มขึ้นมาชิดปลายจมูกสูดกลิ่นหอมอ่อนๆของนํ้ายาปรับผ้านุ่ม หรือบางทีมันอาจจะเป็นกลิ่นคลีมอาบนํ้าของอีกฝ่าย ยังไงก็ได้มันก็กำไรทั้งนั้น!

 

………………………………………………….

 

ร่างโปร่งเพรียวก้าวยาวท้าลมหนาวยามตีหนึ่งตรงดิ่งกลับไปยังอพาร์ทเม้นท์ของตน มือควานหากุญแจจากกระเป๋ากางเกงสีเข้ม เปิดประตูออกอย่างรวดเร็ว ไออุ่นจากฮีทเตอร์ที่เปิดทิ้งเอาไว้ให้ชายหนุ่มอีกคนตั้งแต่ช่วงบ่ายยังคงทำหน้าที่ของมันในการรักษาอุณหภูมิเป็นอย่างดี ถึงห้องจะมืดแต่รองเท้าหนังที่ถอดเปะปะอยู่ตรงหน้าทางเข้าก็ช่วยให้ใจชื้นว่าหมีตัวโตกลับเข้ามาถึงในห้องแล้ว

โลกิตรงเข้าไปในครัวก่อนเป็นอันดับแรก เหลือบมองไปยังบานประตูตู้เย็นรอยยิ้มเล็กๆก็จุดขึ้นบนใบหน้า เมื่อเห็นว่าข้อความที่ตนทิ้งไว้หายไปแล้ว มือเรียวเอื้อมเปิดฝาตู้ออกปล่อยให้อากาศเย็นเยือกทะลักฟุ้งแนบกาย ก่อนจะปรับอารมณ์ลงแทบไม่ทันเมื่อเห็นว่าของโปรดอีกฝ่ายที่ตนลงมือทำนั้น ยังคงถูกพลาสติกแผ่นบางปิดเอาไว้และวางอยู่ในจุดเดิมที่เขาวางเอาไว้ ไม่ขยับไปแม้แต่มิลลิเมตรเดียว

คิ้วเรียวขมวดลงด้วยความงุนงง ก่อนความช่างสังเกตจะตอบความสงสัยของเขาได้ส่วนหนึ่ง จากชั้นวางเครื่องดื่มที่ว่างเปล่าไปแล้ว ร่างเพรียวตัดสินใจหมุนตัวเดินออกจากครัว ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะปลุกอีกฝ่ายขึ้นมาบ่นในเวลานี้ และเขาเองก็ไม่อยากทะเลาะกับอีกฝ่ายในช่วงเทศกาลใกล้จะเริ่มปีใหม่แบบนี้ พร้อมกับให้ของขวัญอีกฝ่ายทั้งใบหน้าบูดบึ้ง

ขายาวก้าวออกไม่ทันพ้นกรอบประตูดีก็ต้องสะดุดไปจากสัมผัสของวัตถุทรงกระบอกที่กลิ้งมาชนฝ่าเท้า เมื่อลองเพ่งสายตาดูดีๆจึงได้รู้ว่ามันคือกระป๋องเบียร์เจ้าปัญหาที่หายไปจากตู้นั่นเอง เจ้าของนามสกุลลาฟฟี่ซันส่ายหน้าเอือมระอา มือเรียวคว้าถังขยะใกล้มือขึ้นไล่เก็บขยะที่พ่อหมีตัวโตทิ้งเอาไว้ และในตอนที่เขาเริ่มคิดทบทวนอีกครั้งอย่างถี่ถ้วนในใจว่าหรือจริงๆเขาควรจะด่าอีกฝ่ายดี แขนแข็งแรงก็รั้งตัวเขาเข้าไปกระชับในอ้อมกอดอุ่นๆแสนคุ้นเคย

“ธอร์!?” โลกิสะดุ้งเล็กน้อยเพราะแรงโอบรัดและใบหน้าประดับหนวดเคราที่ซุกลงกับหลังคอ เอ่ยเรียกอีกฝ่ายแผ่วเบา

“ไปไหนมา…รู้ไหมฉันรอนายนานแค่ไหน” เสียงทุ้มตํ่าตอบงึมงำเหมือนคนพึ่งตื่น กลิ่นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากเจ้ากระป๋องอลูมิเนียมสีเงินลอยมาเตะจมูกให้คนโดนกอดย่นคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ “ตัวนายเย็นมากเลย…โลกิ”

“นายดื่มมากไปแล้วนะบอกแล้วไงว่าถ้าจะดื่มอย่างน้อยก็หาอะไรรองท้องก่อน ฉันทำของโปรดไว้ให้ด้วยนะจะให้อุ่นให้ไหม?” มือเรียวยกแตะท่อนแขนแกร่งแผ่วเบา เอนศีรษะซบคนที่ซุกไซร้คลอเคลียไปมาเหมือนหมีตัวใหญ่ๆงุ่นง่าน

“นายไปไหนมา”

คำถามเดิมถูกถามยํ้า แต่คนตอบเลือกที่จะเงียบแทน แผนการเซอร์ไพรส์ที่ซุ่มคิดมาตั้งสามอาทิตย์เขาไม่คิดจะบอกอีกฝ่ายง่ายๆ ร่างโปร่งจึงขยับออกจากอ้อมกอดอุ่นช้าๆเพื่อหันไปสบตากับคนที่อ้อนเป็นเด็กๆ และเริ่มบ่นงึมงำเหมือนหมีเข้าไปทุกที

“ไม่ได้ไปไหนไกลหรอกน่า นายเมารึเปล่าเนี่ย? หมีเมาได้ด้วยหรอ ไปนอนได้แล้วไปเดี๋ยวฉันเก็บซากที่นายทิ้งไว้แล้วจะตามไปนอนด้วย” เสียงทุ้มนุ่มบ่ายเบี่ยง พยายามดันแผ่นอกแกร่งให้เดินไปยังห้องนอน แต่ดูจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไรนักเมื่ออีกฝ่ายไม่ให้ความร่วมมือเท่าที่ควร

และในตอนที่โลกิตั้งท่าจะอ้าปากเอ่ยอะไรออกมาอีกครั้ง คนตัวสูงกว่าก็ก้มลงมาประทับจูบแรงๆอย่างเกรี้ยวกราด ลมหายใจขาดห้วงกระตุกผิดจังหวะด้วยความไม่ทันตั้งตัว ครั้นจะถอยหนีมือหยาบใหญ่ก็เกี่ยวรั้งทั้งต้นคอและโอบเอวแน่นจนแทบขยับไม่ได้ ชายหนุ่มผมดำจึงทำอะไรไม่ได้ไปมากกว่าการเอียงองศาใบหน้าให้อีกฝ่ายจูบได้ถนัดถนี่มากขึ้น ปล่อยให้ความร้อนแรงเอาแต่ใจของลิ้นร้อนควานหาสิ่งที่ต้องการไปทั่วโพรงปากอย่างใจเย็น

“ธอร์…” สบโอกาสที่จูบผละไปชั่วครู่ โลกิก็ทำได้มากสุดเพียงเอ่ยเรียกนามอีกฝ่ายก่อนจูบครั้งถัดๆไปจะกดลงมาซํ้าแล้วซํ้าเล่า

ความหนาวเย็นจากการฝ่าอากาศหนาวเย็นกลับมาให้ถึงที่พักถูกแทนที่ด้วยอุณหภูมิร้อนแรงของอีกฝ่าย เสื้อคอเต่าสีเข้มถูกเลิกขึ้นมากองที่เหนืออก ริมฝีปากบางของพี่ชายเพียงในนามไล่เล็มไปทั่วผิวกายเนียน ทิ้งไว้ซึ่งความวาบหวามยามผละจาก เรียกเสียงครางแผ่วในลำคอไม่เป็นศัพท์

มือเรียวเอื้อมแตะใบหน้าปกคลุมด้วยเคราสีเข้มที่อยู่ไม่ไกล จ้องสบนัยน์ตาสีนภาวาวโรจน์ด้วยแรงอารมณ์ที่โหมพัดอย่างยอมจำนน ปล่อยให้อีกคนทำตามใจและไม่เอ่ยขัดอะไรยามเมื่อกางเกงถูกถอดออกไปอย่างง่ายดาย

เรือนกายโปร่งเพรียวสะดุ้งเฮือกขึ้นโอบกอดแนบกายคนตัวสูงกว่า มือใหญ่ข้างหนึ่งโอบกอดโลกิที่สั้นสะท้านไปทั้งร่างแน่น ประทับจูบลงข้างขมับซึ่งปกคลุมด้วยเรือนผมที่เริ่มยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ส่วนมืออีกข้างก็ยันกายเอาไว้กับพื้นห้องเพื่อไม่ให้นํ้าหนักตัวทิ้งลงไปยังคนข้างใต้มากเกินไปนัก

“เด็กดี” ธอร์ครางคำชมหวานที่ข้างใบหูขาวแทนคำขออย่างรู้กันดี

ใบหน้าอาบคราบนํ้าตาใสฝังลงกับซอกคอผู้พี่ ครางอื้ออึงตอบรับในลำคอเมินกลิ่นแอลกอฮอล์ที่ฟุ้งออกมาไปไม่ใส่ใจ เปิดเรียวปากกว้างรับจูบร้อนที่ค่อยๆลดความโกรธเกรี้ยวลงไปช้าๆ และแทนที่มันด้วยความอ่อนโยนที่ถวิลหาจนสัมผัสได้อย่างชัดเจน

แล้วธอร์ก็เริ่มขยับ ทุกจังหวะที่เร่งเร้าอย่างต้องการหรือช่วงขณะที่ผ่อนปรนอย่างเอาใจ ล้วนแล้วแต่รีดเสียงร้องไม่เป็นศัพท์ได้เป็นอย่างดี นามของคนคุมเกมถูกขานครางครั้งแล้วครั้งเล่าจนไม่อาจนับได้หมด มือเรียวจิกกำเสื้อเชิ้ตตัวบางแน่นลึกลงไปถึงแผ่นหลังกว้างแข็งแรง ขายาวตวัดรัดรอบเอวพี่ชายหาหลักยึดมั่น ร่างกายโครงไหวไปตามจังหวะกํ้ากึ่งจะเอาแต่ใจที่นำพา

“ธ…อร์…” จูบร้อนจรดตอบรับเสียงเรียกอีกครั้ง

โลกิทำได้เพียงเริดใบหน้าพราวเหงื่อขึ้นจูบตอบอย่างช่วยไม่ได้ ในหัวที่มักจะปราดเปรื่องและคิดหาแผนการมาเล่นสนุกเสมอขาวโพลนขึ้นเรื่อยๆ เขี้ยวคมงับลงบนลำคอแกร่งครวญครางเสียงแว่วหวานยิ่งกว่าครั้งไหนๆเมื่ออารมณ์ร้อนถูกพัดพาไปสู่จุดสูงที่สุดเท่าที่มันจะเป็นไปได้

และในท้ายที่สุดทั่วทั้งห้องก็หลงเหลือเพียงเสียงหอบอย่างเหนื่อยอ่อนที่ผสมปนเปจนแทบแยกไม่ออกของคนสองคน

“ฉันรักนายโลกิ” ธอร์พึมพำหนักแน่นออดอ้อน แนบหน้าผากชื้นเหงื่อของตนลงกับหน้าผากกว้างของอีกฝ่าย “หายไปไหนมา?”

เปลือกตาสีมุกปรือเปิดเผยนัยน์ตามรกตพราวระยับ ในแววตานั้นที่ธอร์สัมผัสได้คล้ายกับว่ามันกำลังจะสื่อกับเขาโดยไร้ถ้อยคำใดๆ ว่าช่วยไม่ได้

ร่างโปร่งผละจากการกกกอดกันเอาไว้ ดึงเสื้อยับๆของตนลงมาปิดผิวกายประดับรอยแดงเป็นจํ้า ตวัดมือเปิดสวิตช์ไฟและหยิบเอาของในถุงผ้าออกมายื่นให้อีกฝ่ายที่ได้แต่ทำหน้างงเป็นหมีโง่อยู่ที่เดิม

“ตอนแรกก็ว่าจะเซอร์ไพรส์หมีโง่แถวนี้สักหน่อย แต่ก็ช่างมันเถอะ” รอยยิ้มอ่อนโยนปะปนความขบขันประดับขึ้นบนใบหน้างดงาม

มือเรียวคลี่ผ้าพันคอผืนสวยลายทางสีเหลืองส้ม-แดง ซึ่งถูกถักทออย่างประณีตที่สุดเป็นลวดลายคล้ายเปียตีคู่กัน ไร้รอยไหมขาดตอน เท่ากันทุกด้านและจบปลายสองด้านด้วยเปียเล็กบรรจง บ่งบอกถึงความตั้งอกตั้งใจของคนทำเป็นอย่างดี และมันถูกนำมาวางลงบนมือหยาบใหญ่ของธอร์ มอบสัมผัสนุ่มมือของไหมพรมขนอัลปาก้าราคาแพง

“นี่ฉันไปแอบซุ่มทำตั้งสามอาทิตย์เชียวนะ อย่ารีบทำขาดไวนักล่ะ” โลกิทรุดลงนั่งตรงข้ามพี่ชาย จับจ้องไปยังคนที่ก้มมองของขวัญในมือสลับกับหน้าเขางกๆเงิ่นๆด้วยสีหน้ายิ้มแย้มพอประมาณ ขัดกับในใจที่เต้นระรัวลุ้นกับปฏิกิริยาตอบรับของอีกฝ่าย

ดวงตาสีนภาท้วมท้นด้วยอารมณ์หลากหลายผสมปะปนกัน ความอบอุ่นวาบถูกเติมเต็มเข้ากลบความเหงาหงอยก่อนหน้านี้ไปจนหมดสิ้น รู้สึกตัวอีกทีมือใหญ่ก็คว้าเอาร่างเพรียวบางเบื้องหน้าเข้ามาสวมกอดไว้แนบแน่น ประทับจูบลงบนหน้าผากกว้างซํ้าๆจนได้ยินเสียงหัวเราะดังมาแผ่วเบา ดวงตาสองคู่จ้องสบกันสื่อความหมายลึกซึ้ง

ธอร์หยิบผ้าพันคอผืนสวยขึ้นมาพันรั้งลำคอของเขาและคนรักเอาไว้ เชื่อมโยงถึงกันด้วยความรักและสัมผัสแสนอ่อนโยน รอยยิ้มจริงใจเปี่ยมสุขแย้มกว้างจนเห็นฟันขาว เป็นรอยยิ้มโง่ๆที่สดใสสู้แสงอาทิตย์ได้สบายๆ ซึ่งโลกิหลงรักและอยากจะจ้องมองมันไปชั่วชีวิตอย่างช่วยไม่ได้

มือทั้งสองกอบกุมกันเอาไว้แนบแน่น ยืนยันสายสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงถึงกันเหมือนไหมพรมที่ถูกถักทอออกมาเป็นรูปเป็นร่างแสนงดงาม

“ฉันรักนายนะ โลกิ”

“ฉันก็รักพี่…ธอร์”

 

The End

 

พี่น้องรักกันนนน ถ้าชอบก็สามารถกดไลค์และคอมเมนท์คุยกันได้นะคะ

มีใครชอบคู่นี้เหมือนเราบ้างคะ

 

 

4 thoughts on “[Thorki] : Soft Scarf

ใส่ความเห็น